ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
เสียดสีจักรๆ วงศ์ๆ ของประชาชนคนบ้านๆ
จําอวดละครชาวบ้านประท้วงขึ้นภาษีผักบุ้ง ด้วยการเล่นประชดประชันราชการขึ้นภาษีผักบุ้งในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ (กรุงศรีอยุธยา)
มีคําบอกเล่าว่านายแทนกับนายมีเป็นตัวจําอวดละครได้เล่นหน้าพระที่นั่งประท้วงเรื่องขึ้นภาษีผักบุ้ง
ในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศ นายสังมหาดเล็กชาวบ้านคูจามรับผูกภาษี กดราคาซื้อผักบุ้งแต่ถูกๆ แล้วขายขึ้นราคา ราษฎรที่เคยขายซื้อผักบุ้งมาแต่ก่อนก็ได้ความเดือดร้อน พากันไปร้องทุกข์ต่อข้าราชการผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครนําความขึ้นกราบทูลฯ ด้วยนายสังอ้างว่าทําภาษีเก็บเงินเข้าพระคลังหลวง
ครั้นอยู่มาพระเจ้าเอกทัศมีรับสั่งให้หาละครชาวบ้านเข้าไปเล่นในวังหลวง จะทอดพระเนตรแก้รําคาญพระราชหฤทัย
นายแทนกับนายมีเป็นตัวจําอวดที่เข้าไปเล่น มีตอนหนึ่งพูดถึงสองหนสามหนว่า “จะเอาเงินมาแต่ไหน จนจะตาย แต่เก็บผักบุ้งขายยังมีภาษี”
พระเจ้าเอกทัศได้ทรงฟังก็หลากพระทัย จึงโปรดให้ไต่ถามจําอวดทั้ง 2 คนนั้น ครั้นทรงทราบความตามที่เป็นมาก็ทรงพิโรธ มีรับสั่งให้เสนาบดีชําระเร่งเงินคืนให้ราษฎร ส่วนตัวนายสังนั้นเดิมมีรับสั่งจะให้เอาไปประหารชีวิตเสีย ต่อมาค่อยคลายพิโรธจึงโปรดให้งดโทษประหารชีวิตไว้
นายแทนกับนายมีเป็น “จําอวด” ก็คือตัวตลกซึ่งเป็นชาวบ้านสมัยอยุธยา ส่วนละครชาวบ้านสมัยอยุธยา คือละครชาตรีที่รู้จักจนทุกวันนี้
สำหรับ “ละครนอก” มีกำเนิดสมัยรัตนโกสินทร์ คือ “ละครใน” ที่เล่นเรื่องชาวบ้าน เช่น สังข์ทอง, ไกรทอง เป็นต้น
เสียดสีจักรๆ วงศ์ๆ
ละครนอกมีลักษณะเด่นคือเย้ยหยันท้าวพระยามหากษัตริย์หรือเจ้าเมือง ซึ่งตรงข้ามกับละครในที่ยกย่องท้าวพระยามหากษัตริย์
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายไว้ในหนังสือ “นาฏศิลป์ไทย” (ธนาคารกรุงเทพ จํากัด จัดพิมพ์เป็นอภินันทนาการเนื่องในโอกาส ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีอายุครบ 6 รอบเมื่อ 20 เมษายน 2526 หน้า 18-20) ดังต่อไปนี้
ละครนอกที่ชาวบ้านเขาเล่นดูกันนั้น ท้าวพระยามหากษัตริย์เป็นตัวตลกทั้งสิ้น ไม่มีความดีอะไรเลย ขี้ขลาดตาขาวสารพัด ท้าวสามลในเรื่องสังข์ทองก็เป็นตัวตลก ท้าวเสนากุฏในเรื่องสังข์ศิลป์ชัยก็เป็นตัวตลก ท้าวสันนุราชในเรื่องคาวีก็เป็นตัวตลก ขึ้นชื่อว่าพระเจ้าแผ่นดินแล้วบทละครนอกเขียนให้เป็นตัวตลกหมด
และแม้แต่บทละครนอกซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ได้ทรงนิพนธ์รักษาลักษณะของละครนอกไว้ครบถ้วน คือท้าวพระยามหากษัตริย์เป็นคนไม่ดี เป็นคนโลเลไม่แน่นอน เป็นคนตลกเลอะเทอะ
แต่คนดีที่เป็นพระเอกจะเป็นชาวบ้าน เช่น ไกรทอง ที่สามารถปราบตะเข้ตะโขงได้ เจ้าเมืองพิจิตรนั้นตะเข้ตัวเดียวก็ปราบไม่ได้ มืออ่อนเท้าอ่อน ส่วนเศรษฐีใหญ่มีเงินมีทองมากมายก็เอาไปใช้ซื้อลูกสาวจากตะเข้ที่มันคาบเอาไปไม่ได้ ต้องหันไปพึ่งไกรทอง ผู้เป็นวีรบุรุษใหญ่โต เป็นต้น
ท้าวสามนต์ในบทละครพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง ตอนตีคลี เมื่อพระอินทร์ “นิรมิตเหมือนมนุษย์ชาวพารา” ยกกองทัพ “ไปล้อมพาราท้าวสามนต์” อาการของท้าวสามนต์จะมีต่างๆ กันดังต่อไปนี้
๏ เมื่อนั้น ท้าวสามนต์ราชนเรนทร์สูร
หลับอยู่ไม่รู้เค้ามูล แว่วเสียงสนมทูลก็ตกใจ
ผวาตื่นฟื้นตัวยังมัวเมีย งัวเงียโงกหงับหลับไปใหม่
นางมณฑาตื่นก่อนนอนไว หลงใหลทะลึ่งลุกปลุกสามี
ท้าวสามนต์ละเมอเพ้อพา คิดว่าผีอําทําอู้อี้
ลุกขึ้นแก้ฝันขันสิ้นที เห็นจะดีหรือร้ายช่วยทายดู
บทท้าวสามนต์จะต้องเงอะๆ งะๆ เอะอะมะเทิ่งเลอะๆ เทอะๆ อยู่ตลอดเวลา ดังกลอนบทละครมักจะมีความคล้ายๆ กันว่า
๏ เมื่อนั้น ท้าวสามนต์ตัวสั่นพรั่นนักหนา
ทาหน้าเซียวเหลียวดูนางมณฑา หูตาบ้องแบวเหมือนแมวคราว
……….
๏ เมื่อนั้น ท้าวสามนต์เสียใจไม่ได้สิบ
พิไรร่ำโศกาจนตาลิบ แต่อุบอิบอู้อี้ขยี้ตา
……….
๏ เมื่อนั้น ท้าวสามนต์ร้องรับให้ดีพ่อ
ตบมืออือเออชะเง้อคอ เห็นลูกเขยเป็นต่อหัวร่อคัก
ลุกขึ้นโลดเต้นเขม้นมุ่ง พลัดผลุงลงมาขาแทบหัก
มึนเมื่อยเหนื่อยบอบหอบฮัก พิงพนักนั่งโยกตะโพกเพลีย
ฉวยคนโทถมยามาดื่มน้ำ หกคว่ำสําลักแล้วบ้วนเสีย
หยิบบุหรี่จุดไฟไหม้ลามเลีย วัดถูกจมูกเมียไม่รู้ตัว
นี่แหละ ละครนอก ทำหน้าที่เสียดสีจักรๆ วงศ์ๆ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางสังคมสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และสมัยนั้นไม่ถือเป็นผิดกฎมณเฑียรบาล
ละครชาวบ้าน
ละครชาวบ้านมีรากเหง้ามาจากการละเล่นร้องรําทําเพลง หรือเพลงโต้ตอบของประชาชนชาวบ้านทั่วไป ที่จับเรื่องมี “นิยาย” เช่น เพลงฉ่อย, เพลงโคราช, เพลงพาดควาย, เพลงเรือ ฯลฯ
ลักษณะสําคัญของการละเล่นพื้นบ้านพื้นเมืองคือบทวิวาทหรือโต้ตอบถึงพริกถึงขิงระหว่างหญิงกับชายที่เต็มไปด้วยลีลาประชดประชัน เย้ยหยัน ถากถาง ล้อเลียน และเสียดสี
เมื่อการละเล่นเพลงมีพัฒนาการเป็นละครชาวบ้านแล้ว แนวทางทะเลาะวิวาทอย่างเดิมก็ไม่ได้หายไปไหน หากติดตามเข้าไปอยู่ในละครด้วย
หลังจากราชสํานักรับละครชาวบ้านไปพัฒนาแล้ว บทวิวาทบาดถลุงด่าทอก็เข้าไปอยู่ในวังด้วย แต่ลดความเข้มข้นลงไปบ้าง เช่น พระราชนิพนธ์บทละครอุณรุท จัดบทวิวาทไว้หลายตอน มีตอนหนึ่งอุณรุทพิโรธหมอผียายมดว่า
๏ อีเอยอีเฒ่า มายาพาที
พกลมเจรจา มายาพาที
อีชาติจัญไร ช่างไม่บัดสี
อวดว่าตัวดี วิ่งหนีไปไย
แม้บทละครพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ตอนทศกัณฐ์กริ้วนางสนมกํานัลก็มีว่า
๏ อี่เอยอี่ทรลักษณ์ กูจักตัดเกล้าเกศี
พาอี่กาลี วิ่งหนีไปไย
มึงมาชวนกัน เย้ยหยันกูได้
ว่าพลางภูวไนย เลี้ยวไล่อลวน
คําประพันธ์ที่ใช้แต่งเฉพาะบทวิวาทบาดถลุงนี้ เป็นแบบแผนกลอนเพลงชาวบ้านที่กลายเป็นกลอนเพลงมโหรี แล้วจัดระเบียบใหม่ให้มีวรรคละ 4 คำตามจังหวะร้อง “รุกร้น” ที่เรียกกันว่าร้อง “สับ” (หรือศัพท์ไทย) ประกอบตีกรับซึ่งมีพัฒนาการมาจากเพลงโต้ตอบของชาวบ้านตอนด่าทอชิงชู้ •
สุจิตต์ วงษ์เทศ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022