ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 กันยายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
ยุทธบทความ
สุรชาติ บำรุงสุข
หกเดือนในนรก!
สงครามที่ไม่จบในยูเครน
“การสู้รบเกิดขึ้นที่นี่; ข้าพเจ้าต้องการกระสุน, ไม่ต้องการการอพยพ”
ประธานาธิบดีเซเลนสกี
ในการฉลองวาระครบรอบ 31 ปีของการเป็นเอกราชของยูเครนจากอดีตที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียตนั้น สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงดำเนินต่อไป…
สงครามเดินมากว่า 6 เดือนแล้ว และยาวกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด
ความเชื่อที่ว่าสงครามยูเครนจะยุติอย่างรวดเร็วด้วยความเหนือกว่าของกำลังรบของรัสเซีย กลายเป็นเพียง “ความฝันที่ไม่เป็นจริง” ของประธานาธิบดีปูติน
กองทัพรัสเซียยังไม่สามารถบดขยี้กองทัพยูเครน และเข้ายึดครองยูเครนได้ แม้รัสเซียจะทุ่มกำลังรบในการเปิดสงครามครั้งนี้อย่างมากก็ตาม
ขณะเดียวกันสันติภาพก็คือ “ความฝันที่ไม่เป็นจริง”… หกเดือนของสงครามที่ผ่านไป ไม่มีแนวโน้มของการเจรจาระหว่างคู่สงครามชุดนี้แต่อย่างใด
ภาพที่เกิดขึ้นกลับเป็นการโจมตีของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง และเป็นการโจมตีอย่างไม่จำแนกเป้าหมาย เสมือนหนึ่งรัสเซียกำลังใช้ “มาตรการแบบเบ็ดเสร็จ” แม้ว่าจะไม่ใช่สงครามเบ็ดเสร็จโดยตรงก็ตาม จนอาจเรียกการถูกโจมตีอย่างหนักในครั้งนี้ว่าเป็น “นรกในยูเครน” หรือเป็น “หกเดือนในนรก” สำหรับชีวิตประชาชนชาวยูเครน
ดังจะเห็นได้ว่าในหกเดือนของสงคราม มีชาวยูเครนเสียงชีวิตหลายพันคน
และชาวยูเครนเป็นหลักล้านคนที่กลายเป็นผู้อพยพพลัดถิ่นแบบไม่มีทางเลือก
อีกหลายชีวิตตกอยู่ใน “มิคสัญญีสงคราม” อย่างน่าหดหู่ใจ
หกเดือนที่ไม่แพ้!
สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบหกเดือนของสงครามคือ ความเกลียดชังของประชาชนชาวยูเครนที่มีต่อผู้นำรัสเซีย
การเปิดสงครามของประธานาธิบดีปูตินเป็นคำตอบในตัวเองว่า โอกาสที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะหวนคืนสู่มิตรภาพระหว่างกันนั้น เป็นไปไม่ได้แล้ว
เพราะผลจากการเปิดสงครามของผู้นำรัสเซียที่เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น กลายเป็นการสร้างความ “เกลียดชัง” ชุดใหญ่ และยิ่งนานวัน ความเกลียดชังชุดนี้กลับทวีความรุนแรงมากขึ้น…
บาดแผลสงครามจาก “สงครามของปูติน” ได้ปิดประตูความสัมพันธ์ในฐานะของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของสองประเทศ ได้สิ้นสุดลงไปหมดแล้ว และสงครามครั้งนี้ได้สร้างมุมมอง (perception) อย่างมีนัยสำคัญว่า รัสเซียคือ “ภัยคุกคาม” ต่อเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน
ซึ่งทัศนะเช่นนี้จะอยู่กับชาวยูเครนไปอีกหลายรุ่นของชีวิตคน
ตัวอย่างของเรื่องเล่าจากความโหดร้ายของทหารรัสเซียที่เมืองมาริอูโปลเป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสังหารหมู่ การเผาร่างของประชาชนที่ถูกสังหารแล้วนำมากองรวมกัน การปิดล้อมเพื่อให้ประชาชนที่ต้องหลบภัยสงครามในชั้นใต้ดินต้องอดอยากและหนาวตาย การข่มขืนและสังหาร เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในวงกว้างจนยากที่จะปิดบัง
สำหรับประชาชนยูเครนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ไม่ต่างจากเรื่องเล่าที่ถูกกล่าวขานตกทอดกันมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการกระทำของกองทัพนาซี
ดังนั้น จึงเป็นเหมือนเรื่องย้อนแย้ง ที่ประธานาธิบดีปูตินกล่าวว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” (Special Military Operations) ของกองทัพรัสเซียนั้น เป็นไปเพื่อโค่นล้มรัฐบาลนิยมนาซีที่กรุงเคียฟ
นอกจากนี้ ยังพบการสังหารประชาชนในอีกหลายพื้นที่ของยูเครน จนนำไปสู่ข้อเสนอในเรื่องของการเอาผิดผู้นำทั้งทางการเมืองและการทหารในฐานะ “อาชญากรสงคราม”
ว่าที่จริงแล้วทุกฝ่ายรู้ดีว่า “วาทกรรมต่อต้านนาซี” เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมของรัฐบาลมอสโกในการแสวงหาความสนับสนุนจากคนในสังคมรัสเซีย เพื่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับเมื่อครั้งผู้นำโซเวียตในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นประธานาธิบดีสตาลิน ที่เคยแสดงบทบาทสำคัญในการเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในการทำสงครามกับฮิตเลอร์ จนได้รับชัยชนะมาแล้ว
การสื่อสารทางการเมืองกับชาวรัสเซียอาจจะประสบความสำเร็จด้วยการควบคุมและเซ็นเซอร์สื่อในสังคม แต่ในสังคมโลกอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้น อีกทั้งปัญหาเกิดขึ้นเป็นเพราะสังคมยูเครนมีทิศทาง “มองตะวันตก” ไปทางสหภาพยุโรป มากกว่าจะเป็น “มองตะวันออก” ที่ถือเอารัสเซียเป็นแม่แบบ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา แม้ยูเครนจะเป็นเหมือน “นรก” จากการโจมตีทางทหารของรัสเซีย แต่พวกเขากลับสร้างเอกภาพในการต่อต้านรัสเซียได้อย่างเข้มแข็ง
จนกล่าวได้ว่าวันนี้ “ขวัญกำลังใจ” ของทหารและประชาชนชาวยูเครนในการยืนหยัดต่อสู้กับรัสเซียนั้น กลายเป็น “อำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน” และสามารถยันกับการรุกใหญ่ทางทหารของกองทัพรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และพิสูจน์ด้วยสถานการณ์การรบจริงที่กองทัพรัสเซียยังไม่สามารถยึดยูเครนได้
ขณะเดียวกันก็ยังมองไม่เห็นโอกาสชัยชนะของกองทัพรัสเซียแต่อย่างใด
อันอาจกล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่ากองทัพรัสเซียเข้าไปติด “กับดักสงคราม” ไม่ต่างจากการที่เคยติดกับดักนี้ในสงครามอัฟกานิสถานหลังจากปี 2522/23 มาแล้ว
วีรบุรุษสงคราม!
ในอีกด้านสงครามต่อต้านรัสเซียก็สร้างให้ประธานาธิบดีเซเลนสกี กลายเป็นวีรบุรุษในระดับโลกทันทีหลังจาก 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และถูกยกย่องให้เป็นตัวอย่างที่สำคัญของการเป็น “ผู้นำในภาวะวิกฤต” ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการนำประชาชนต่อสู้กับการรุกรานของรัฐมหาอำนาจภายนอก
โดยเฉพาะการตัดสินใจที่จะนำการต่อสู้ แทนที่จะตัดสินใจทิ้งประเทศด้วยการออกไปจัดตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” ในประเทศตะวันตก แต่เขากลับร้องขอให้สหรัฐสนับสนุนการต่อสู้ด้วยการส่งกระสุนมาให้แทน ด้วยคำกล่าวในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ว่า “The fight is here; I need ammunition, not a ride” (คำสัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพี)
คำกล่าวของประธานาธิบดีเซเลนสกีเช่นนี้ ได้ใจคนอย่างมาก ทั้งในยูเครนและในโลกตะวันตก จนเขากลายเป็น “ฮีโร่ของโลก” ในทันที
และคำปฏิเสธที่จะละทิ้งประเทศในยามสงครามกลายเป็นหัวข้อข่าวใหญ่ของโลกในทันทีเช่นกัน ดังที่ปรากฏในสื่ออย่างนิวยอร์กไทม์สหรือซีเอ็นเอ็น เป็นต้น
และนิวยอร์กไทม์สได้ยกย่องว่า ไม่ว่าประธานาธิบดีซีเลนสกีจะมีชีวิตรอดจากการโจมตีขนาดใหญ่ของรัสเซียหรือไม่ก็ตาม แต่ชื่อของเขาได้เข้าไปอยู่ในประวัติศาสตร์ยูเครนเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งการประเมินเช่นนี้ไม่น่าจะผิดแต่อย่างใด การยืนหยัดต่อสู้กับ “สงครามของปูติน” ทำให้เขากลายเป็นผู้นำในเวทีโลกอย่างเด่นชัด ทั้งยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ความช่วยเหลือจากภายนอกโดยเฉพาะในทางทหารหลั่งไหลไปสู่ยูเครน
ในหกเดือนของสงครามนั้น ปัจจัยผู้นำเป็นประเด็นสำคัญในการสงคราม และเป็น “อำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน” อีกแบบในการสร้างขวัญกำลังใจของคนในประเทศ ทั้งยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาติพันธมิตรเกิดความเชื่อมั่นที่ให้การสนับสนุนการต่อสู้ อย่างน้อยเมื่อผู้นำตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว ก็เป็นหลักประกันสำคัญทั้งในทางการเมืองและการทหาร ที่มีนัยว่าสงครามในยูเครนจะไม่ถูกละทิ้งจากตัวผู้นำและประชาชนยูเครนเอง
ซึ่งอาจเปรียบเทียบได้กับความพ่ายแพ้ของรัฐบาลอัฟกานิสถานในเดือนสิงหาคม 2021 ที่ผู้นำตัดสินใจละทิ้งการต่อสู้ ด้วยการหนีออกนอกประเทศไปก่อนที่คาบูลจะแตก
ผู้นำที่หนีและละทิ้งประเทศเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะชนะในสงคราม และเป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ในตัวเอง
หกเดือนแห่งความล้มเหลว!
สําหรับประธานาธิบดีปูตินแล้ว การตัดสินใจในการเปิดสงครามยูเครนอาจจะใช้เป็นปัจจัยในการก่อกระแสชาตินิยมภายในสังคมรัสเซีย ด้วยการสร้างวาทกรรมทางการเมืองว่า กองทัพรัสเซียจำต้องเข้าไปปกป้องคนเชื้อสายรัสเซียในภาคตะวันออกของยูเครนที่ถูกข่มเหงรังแกจากรัฐบาลเคียฟ ซึ่งจะทำให้ชาวรัสเซียบางส่วนเห็นชอบและสนับสนุนรัฐบาล
อีกทั้งการปิดเว็บที่เห็นต่างในกรณีสงครามยูเครน ตลอดรวมถึงการจับกุมผู้นำฝ่ายค้าน ทำให้การเผยแพร่ข่าวสารความสูญเสียของทหารรัสเซีย กลายเป็นความผิดทางกฎหมาย แต่ก็มิได้ทำให้กระแสต่อต้านสงครามยูเครนหายไปจากสังคมรัสเซีย
วันนี้มีนักกิจกรรมที่ต่อต้านสงครามถูกจับแล้วเป็นจำนวนหลักพันในรัสเซีย
แต่ประเด็นสำคัญที่เกิดกับสังคมรัสเซียคือ การที่ประเทศถูกโดดเดี่ยวและถูกตัดขาดออกจากสังคมยุโรป ซึ่งในอนาคตอาจรวมถึงการที่สหภาพยุโรปอาจ “แบน” นักท่องเที่ยวรัสเซีย สิ่งสำคัญอย่างมากคือ การตัดระบบการเงินและการธนาคารของรัสเซียออกจากระบบการเงินโลก (SWIFT) ซึ่งเป็นดังการทิ้ง “ระเบิดนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ” ตลอดรวมถึงการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจ ทำให้ระบบเศรษฐกิจของรัสเซียถูกกระทบอย่างมาก
แม้รัสเซียพยายามจะหันไปพึ่งจีน และชาติพันธมิตรของรัสเซีย เช่น อินเดีย เพื่อเป็นผู้ซื้อสินค้าแทนลูกค้าเดิม เช่นในกรณีของพลังงาน เป็นต้น
ด้วยเงื่อนไขของการถูกปิดล้อมจากโลกตะวันตก ทำให้ระบบเศรษฐกิจรัสเซียอ่อนแออย่างมาก จนในอนาคตรัสเซียอาจกลายเป็น “รัฐพึ่งพา” ต่อจีน เพราะจีนมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากกว่า
แม้รัสเซียจะมีทรัพยากรเช่นในกรณีของพลังงาน ซึ่งในช่วงสงคราม รัสเซียเคยใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการกดดันรัฐยุโรป ดังตัวอย่างเช่น เยอรมนีเคยเป็นผู้พึ่งพาก๊าซธรรมชาติของรัสเซียอย่างมาก เป็นต้น
แต่สหภาพยุโรปปัจจุบันมีความพยายามที่ลดการพึ่งพาดังกล่าวลง และมองว่ารัสเซียกำลังทำ “สงครามพลังงาน” และยังรวมถึงการปิดตัวของธุรกิจตะวันตกที่มีฐานการผลิตในรัสเซีย
ฉะนั้น สงครามยูเครนในหกเดือนที่ผ่านมาทำลายศักยภาพของรัสเซีย จนรัสเซียจะไม่เข้มแข็งแบบเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของสงครามคือ การต้องได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว แต่โอกาสที่กองทัพรัสเซียจะเป็นผู้สถาปนาชัยชนะด้วยการยึดครองยูเครนอย่างรวดเร็วนั้น เป็นไปไม่ได้แล้ว
สงครามมีลักษณะที่รบต่อเนื่องยาวนาน และอาจจะนานไปตลอดฤดูหนาว
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นทำให้รัสเซียต้องเร่งขยายกำลังพล ซึ่งมีนัยถึงการทดแทนต่อความสูญเสียที่เกิดในสงคราม ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความล้มเหลวทางทหารของรัสเซียในยูเครนอย่างชัดเจน อีกทั้งเป็นผลของความผิดพลาดของการประเมินสถานการณ์ว่า รัฐบาลเคียฟไม่น่าจะมีศักยภาพในการต่อต้านสงครามของกองทัพรัสเซีย
ถ้ามีการต่อต้านก็เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน และนำไปสู่การยอมแพ้ แล้วรัสเซียจะเข้ามาควบคุมยูเครนเช่นความสำเร็จในการยึดไครเมียในปี 2014 หรือประชาชนยูเครนจะเปิดประเทศรอรับการ “ปลดปล่อย” จากกองทัพรัสเซียเช่นในสงครามต่อต้านนาซี
แต่โลกของยูเครนเปลี่ยนไปหมดแล้วจากที่ผู้นำมอสโกคิด หลังการเรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสไมดานในปี 2014 คนหนุ่มสาวและรัฐบาลเคียฟมีทิศทางที่ชัดเจนในการพาประเทศไปในเส้นทางของสหภาพยุโรป แม้จะถูกสร้างเป็นวาทกรรมว่า ทิศทางเช่นนี้คือการพายูเครนไปเป็นสมาชิกของนาโตก็ตาม แต่ก็มีความหมายว่า ชาวยูเครนอยากอยู่ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่อยู่ภายใต้ระบอบอำนาจนิยมของผู้นำรัสเซีย
ดังนั้น แม้ประธานาธิบดีปูตินจะสามารถออกแรงผลักสงครามยูเครนให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้ เพราะรัสเซียยังมีอาวุธเก่าเหลือใช้จำนวนมากให้ทำสงครามต่อไป แต่กำลังพลรัสเซียในสนามรบก็รับรู้เป็นอย่าวดีว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็น “หกเดือนในนรก” ที่ยูเครนเช่นกัน!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022