ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กันยายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
ผู้เขียน | เพ็ญสุภา สุขคตะ |
เผยแพร่ |
ปริศนาโบราณคดี
เพ็ญสุภา สุขคตะ
‘ณัฏฐภัทร จันทวิช’
ต้นแบบ ‘ครูภัณฑารักษ์’
ของกรมศิลปากร (1)
ข่าวการจากไปของคุณ “ณัฏฐภัทร จันทวิช” ตำแหน่งสุดท้ายคือ นักโบราณคดี 10 ชช. (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์) ของกรมศิลปากร ด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ในวัย 74 ปี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ยังความโศกเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์ให้แก่เพื่อนพ้องน้องพี่ชาว “กรมศิลป์” และเครือข่ายเพื่อนพิพิธภัณฑ์ อย่างหาที่เปรียบมิได้
โดยเฉพาะดิฉัน มีความผูกพันรักใคร่สนิทสนมกับ “อาจารย์ณัฏฐภัทร” (ตามคำเรียกของคนทั่วไป) มากเป็นพิเศษ
ในที่นี้ขออนุญาตเรียกท่านว่า “พี่แอ๊ว” ตามสรรพนามที่ท่านเรียกแทนตัวเองกับดิฉันตลอดระยะเวลาที่เรารู้จักกันแบบรุ่นพี่รุ่นน้องคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร มานานกว่า 40 ปี
ปริศนาโบราณคดีฉบับนี้และฉบับหน้าจึงขอแทรกบทความชิ้นนี้เพื่อร่วม “คารวาลัยต่อการจากไปของอาจารย์ณัฏฐภัทร จันทวิช” ก่อน ฉบับถัดไปจะกลับมาต่อเรื่องราวของ “นางพญาวิสุทธิเทวีตอนสาม” ซึ่งเนื้อหากำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
รูปสวย สำรวยสมอง
ดิฉันรู้จักกับ “พี่แอ๊ว” ณัฏฐภัทร ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาปี 1 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรแล้ว เพราะการเรียนการสอนของคณะนี้ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะทุกวิชา ต้องพาไปศึกษานอกสถานที่ เข้าเรียนรู้โบราณวัตถุ โบราณสถานจริงตามวัดและพิพิธภัณฑ์ของกรมศิลป์
โดยเฉพาะพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร คือเป้าหมายอันดับต้นๆ ที่พวกเรานักศึกษาต้องเดินเข้าเดินออกไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ
ในช่วงระหว่างปี 2524-2527 ที่ดิฉันเรียนระดับปริญญาตรี และระหว่างปี 2529-2532 ที่เรียนระดับปริญญาโท คณะโบราณคดีนั้น ทุกครั้งที่ไปศึกษาโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มักได้พบรุ่นพี่ที่จบจากคณะโบราณคดี แล้วเข้ารับราชการเป็น “ภัณฑารักษ์” คอยทำหน้าที่บรรยายนำชมให้ความรู้แก่พวกเรา
หนึ่งในบรรดาภัณฑารักษ์ของกรมศิลปากรนั้น มี “พี่แอ๊ว” ณัฏฐภัทรรวมอยู่ด้วย
รูปลักษณ์ภายนอกที่สะดุดตาของพี่แอ๊วคือ เป็นคนรูปร่างผอมบาง เพรียว สะโอดสะอง ใบหน้าเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสันคม
เรื่องการรักษาหุ่นให้งามคงเส้นคงวาของพี่แอ๊ว มีมาแล้วตั้งแต่วัยสาวจนวัยกลางคน พี่แอ๊วไม่เคยปล่อยตัวให้เสียรูปเสียทรง
สุภาพสตรีที่ใครเห็นก็ย่อมสะดุดตาท่านนี้ ยังมีรสนิยมในการแต่งกายอย่างพิถีพิถันอีกด้วย พูดแบบภาษาสมัยใหม่คือ “เสื้อผ้าหน้าผมเป๊ะมาก” เดินเยื้องกรายแช่มช้าดั่งนางพญา พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ยิ้มเก่ง ใจดี
ท่านเรียกดิฉันว่า “สาวน้อยคนงาม” มาตั้งแต่ดิฉันเรียนปี 1 อายุ 16-17 จวบจนกระทั่งดิฉันเออร์ลี่รีไทร์เมื่อปี 2553 อายุ 45 ปี ท่านก็ยังเรียกดิฉันว่า “สาวน้อยคนงาม” อยู่เช่นเดิม (ดิฉันแอบดีใจกึ่งอาย อายุอานามเราปาไปเลข 4 จะเข้าเลข 5 แล้ว แต่พี่แอ๊วยังเรียกเราว่า “สาวน้อย” ทุกคำ)
คุณสมบัติสำคัญที่สุดของอาจารย์ณัฏฐภัทร หาใช่บุคลิกภายนอกที่ดูสำรวยสะอางศรี ดูเป็นกุลสตรีชาววังเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดท่านเป็นคนที่มี “กึ๋น” มี “มันสมอง” มีความเป็นเลิศทางวิชาการด้านโบราณคดีชนิดที่หาตัวจับได้ยากอีกด้วย
อะไรไม่รู้อย่าบรรยาย
ณ จุดนี้ไม่มีใครรู้ข้อมูลเท่าเรา
ปี 2545 ทางกรมศิลปากรส่วนกลางแจ้งมาทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ว่า คณะสมาคมครูภาษาฝรั่งเศส จำนวน 30 คน ภายใต้พระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในรัชกาลที่ 9 จะพาคณะมาเยือนลำพูน เชียงใหม่ ขอเข้าชมโบราณวัตถุ โบราณสถานที่กรมศิลปากรดูแล
ทางกรมศิลป์ได้ส่งอาจารย์ณัฏฐภัทรให้มาดูแลความเรียบร้อยเบื้องต้นว่า ใครจะต้อนรับจุดไหน ควรพาคณะไปวัดไหนบ้าง ใช้เวลาบรรยายจุดไหนกี่นาที ร้านอาหารมื้อเที่ยงควรจัดเตรียมร้านไหน
ทำให้ช่วงนั้นพี่แอ๊วได้เดินทางมาลำพูนอยู่หลายวัน แนะนำให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชยปรับปรุงสภาพห้องน้ำใหม่ เปลี่ยนป้ายคำบรรยายในห้องจัดแสดงใหม่ให้ดูงามตา
พอมาถึงวันงานจริง ดิฉันเกิดประหม่าที่ต้องถวายคำบรรยายแด่สมเด็จพระพี่นางฯ ก่อนท่านเสด็จมาถึง 5 นาที ดิฉันแอบถามพี่แอ๊ว ในฐานะที่พี่เธอก็เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชยมาก่อนว่า
“พี่แอ๊วคะ หนูลืมไปแล้วว่ารัชกาลที่ 7 มีพระราชดำริให้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ประจำมณฑลพายัพที่ลำพูนปีไหนแน่นะคะ 2470 หรือ 2472?”
โอ! ไม่น่าเชื่อเลย ว่าคำถามเพียงคำเดียวของ “สาวน้อยผู้ตื่นตระหนก” จักได้รับคำตอบที่ทรงค่ายิ่ง คำตอบนั้นกลายเป็น “คัมภีร์ที่หาซื้อจากไหนไม่ได้อีกแล้ว กลายเป็นทฤษฎีที่ดิฉันจำไปใช้สอนถ่ายทอดต่อให้อนุชนรุ่นหลังอีกได้ชั่วชีวิต”
“เดี๋ยวตีตายเลย แม่สาวน้อย อุตส่าห์รู้นู่นนี่นั่นสารพัดเป็นแสนเป็นล้านเรื่อง ซึ่งคนอื่นไม่รู้ ทำไมจะต้องบีบบังคับให้ตัวเองต้องมาตกม้าตายในเรื่องที่ตัวเองเผลอลืม พึงเตือนตนไว้เสมอนะคะสาวน้อยว่า ผู้ฟังเขามาจากที่อื่น ไม่มีใครรู้อะไรดีเท่าเราหรอก
“น้องเพ็ญจำไว้นะคะ หน้าที่ของผู้บรรยาย ไม่ว่าภัณฑารักษ์ มัคคุเทศก์ หรือครูบาอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องนำเสนอข้อมูลทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะประเด็นปลีกย่อย เช่นการกำเนิดพิพิธภัณฑ์ ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีคนถาม น้องอย่าเอาสมองไปพะวักพะวนกับเรื่องเหล่านี้
“ภัณฑารักษ์ที่ดีต้องโฟกัสยิงศรให้ตรงเป้า พุ่งประเด็นไปที่จุดเด่นของงานประติมากรรม มาสเตอร์พีซชิ้นเยี่ยมที่น้องดูแลและอยากนำเสนอเท่านั้นเลยค่ะ น้องต้องไม่ประหม่าไปรู้สึกหนักใจกับปีศักราชที่น้องลืม ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ น้องห้ามลดความสมาร์ต สง่างามลงเด็ดขาด ตัดทุกอย่างทิ้งไปให้หมดนะคะ เรื่องพอศงพอศออะไรนั่น น้องดึงเอาความน่าสนใจของโบราณวัตถุแต่ละชิ้นขึ้นมาตีแผ่ แล้วสาธยายให้คนฟังเห็นคล้อยด้วยภาษาที่สนุกสนานของน้องเท่านั้นพอ จบ”
ดิฉันรู้สึกหายเครียด ผ่อนคลายมากๆ เลย ดูสิ! พอจะต้องเตรียมบรรยายให้ “พระองค์ท่าน” จู่ๆ สมองก็ไม่ทำงานชะงั้น ลืมแม้กระทั่งปี 2470 ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 เสด็จเลียบมณฑลพายัพ เสด็จมาพระราชทานพระแสงราชศาสตราที่นครลำพูน และมีพระราชดำริให้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ประจำมณฑลพายัพขึ้นที่จังหวัดลำพูนเฉยเลย
สิ่งที่ดิฉันบรรยายนำชมวันนั้น จึงเต็มไปด้วยความอาจหาญ ไม่ประหม่าอีกต่อไป เน้นเรื่องราวที่สนุกสนาน เช่น ถวายคำบรรยายว่ากองทัพศิลาจารึกเหล่านี้ เปรียบไปก็เสมือนใบอนุโมทนาบัตร ขึ้นต้นก็แจ้งการบุญกุศลที่ตนทำ ใคร ชื่ออะไร ทำบุญอะไรบ้าง
แต่เขียนไปเขียน ตอนท้ายๆ จารึกเหมือนบุญจะหล่นหาย เพราะล้วนเต็มไปด้วยคำสบถ สาปแช่ง เช่นว่า หากใครเอาคนที่ข้ากัลปนาไว้ให้ดูแลพระธาตุไปใช้งานอื่น ขอให้บุคคลผู้นั้นมีอันเป็นไป เข้าป่าก็ขอให้เสือขบ ลงน้ำก็ขอให้จระเข้กัดตาย เดินริมฝั่งน้ำก็ขอให้ทรายดูดดั่งเทวทัต ซะงั้น จำได้ว่า คณะสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสหัวร่องอก่องอขิงกันยกใหญ่
ต้องขอขอบพระคุณพี่แอ๊วผู้เป็น “เทรนเนอร์” หรือ “ภัณฑารักษ์มืออาชีพตัวแม่” จริงๆ ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ฉุกเฉินให้สาวน้อยภัณฑารักษ์ป้ายแดงมือใหม่หัดขับ ผ่านพ้นความยุ่งยากนี้ไปได้ หากไม่มีพี่แอ๊ววันนั้น ดิฉันคงเอ้อๆ อ้าๆ เวียนวนถามตัวเองจนหัวแทบระเบิดร้อยรอบว่า
เอ! ร.7 เสด็จลำพูนปีไหนหนอ 2470 หรือ 2472 ดีไม่ดีเผลอไปบรรยายว่า 2475 อีกจะยุ่งไปกันใหญ่
ประวัติศาสตร์ต้องมีหลายเวอร์ชั่น
เท่านั้นยังไม่พอ พี่แอ๊วทวงถามว่า
“ตามที่ตกลงกันแบ่งหน้าที่บรรยาย ไม่ใช่แค่ห้องกองทัพศิลาจารึกและวัดจามเทวีเท่านั้น แต่น้องเพ็ญต้องถวายคำบรรยายเรื่องพระรอด พระคง ในเวอร์ชั่นของกรมศิลปากรเราด้วยไม่ใช่หรือคะ”
ดิฉันตอบพี่แอ๊วไปว่า “คงไม่ต้องแล้วค่ะคุณพี่ เพราะเมื่อวานหนูเอาข้อมูลของเราทั้งหมดไปให้ปราชญ์ชาวบ้านวัดมหาวันบรรยายแทนเรื่องนี้แล้ว เพราะเดี๋ยวพระองค์ท่านก็ต้องเสด็จไปวัดมหาวันด้วยอยู่แล้วมิใช่หรือคะตามโปรแกรม”
“ตายแล้ว น้องเพ็ญทำงี้ได้ไง ไม่ได้นะ ไม่ได้เด็ดขาด จริงอยู่พระองค์ท่านจะเสด็จไปวัดมหาวันด้วย แต่ทางวัดมหาวันเขาก็มีข้อมูลของเขา จะผิดจะถูก จะพิสดารอย่างไรก็เรื่องของเขา
“ประวัติศาสตร์มีหลายเวอร์ชั่นนะ ไม่ใครถูกใครผิด น้องเพ็ญต้องเคารพท้องถิ่น ปล่อยให้เขาเชื่อและบรรยายตามความเชื่อของเขา ไม่ใช่ให้เขาต้องมาเปลี่ยนแก้ไขตามเวอร์ชั่นหลวงของกรมศิลป์ น้องเพ็ญรีบโทร.หาพ่อน้อยพ่อหนานเดี๋ยวนี้เลย ว่าให้เขาพูดตามที่เขาเคยรับรู้ แล้วตัวน้องเพ็ญเองนั่นแหละที่ต้องบรรยายความเป็นมาของพระรอดพระคง ตามการศึกษาแบบสาย Academy ของพวกเรา”
โอ้โห! ดิฉันได้รับบทเรียนราคาแพงอีกแล้วหนึ่งบท “ประวัติศาสตร์มีหลายเวอร์ชั่น ไม่มีใครถูกใครผิด” ทันทีที่ดิฉันรีบโทร.ไปหาวัดมหาวัน ปราชญ์ชาวบ้านเขาบอกว่า
“เฮ้อ! โล่งอกแต๊ๆ นอ” เพราะเขาจำเรื่องราวที่เราส่งไปให้เขาท่องตามไม่ได้เลย
อะไรก็ไม่รู้ พระรอดไม่เก่าถึงสมัยพระนางจามเทวีบ้างล่ะ (แค่นี้เขาก็หัวใจสลายแล้ว เพราะชาวบ้านเชื่อว่าพระรอดเก่าแก่มากถึง 1,400 ปีเป็นผลงานของพระนางจามเทวี) พระรอดสร้างสมัยพุทธศตวรรษที่ 15 บ้างล่ะ รับอิทธิพลจากศิลปะปาละ ของอินเดียเหนือ ผ่านอาณาจักรพุกาม ในพุทธศาสนานิกายเถรวาทปนมหายานเรียกว่า “นิกายสรวาสติวาทิน” บ้างล่ะ ลักษณะการทำปางมารวิชัยหมายถึงอะไรบ้างล่ะ
พ่อน้อยพ่อหนานบอกว่า “ถ้าให้พ่ออุ๊ยเล่าเรื่องความเป็นมาของพระรอดมหาวัน ตามที่พ่ออุ๊ยรับรู้มา ก็ม่วนน่ะสิ ดร. พ่ออุ๊ยสามารถปิดตาเล่าได้ชัดเจนว่าปีไหนกรุเจดีย์ถล่ม ล้มไปทิศไหน ใครลักขุดได้พระรอดกี่องค์ตรงจุดไหน ใครเอาไปแล้วฝันร้าย ใครถูกหวย ใครต้องเอาพระรอดมาคืน ม่วนแต๊ม่วนว่า สบายอ๊กสบายใจ๋ ไม่ต้องจำศักราชกับชื่อภาษาบาลีสันสกฤตอะไรยากๆ ของ ดร. แล้ว”
เป็นอันว่า สองคลิกของพี่แอ๊ว ช่วยปลดล็อกให้ทั้งดิฉันและพ่ออุ๊ยวัดมหาวันไม่ต้องเกร็งเรื่องกลัวลืมปีศักราชในการบรรยาย
ข้อสำคัญผลประโยชน์ทั้งหมดทั้งมวลจะตกอยู่แก่ผู้ฟังเต็มๆ อีกด้วย ที่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรสนุกๆ ถึงสองเวอร์ชั่น โดยฝ่ายหนึ่งไม่ต้องไปข่มเหงยำเยงอีกฝ่ายว่าเขาผิด
ลำพูนเมืองเล็ก แต่วัฒนธรรมใหญ่
ต้องได้คนจริง คนใจใหญ่ทำงาน
พี่แอ๊วเป็นแบบอย่างของ “ภัณฑารักษ์” ที่ขยันลงพื้นที่เก็บข้อมูลสำรวจโบราณวัตถุ โบราณสถาน และสัมภาษณ์บุคคล อย่างไม่ระย่อ เป็นภัณฑารักษ์ที่ขยันขันแข็งที่สุดแล้ว ในสายตาของดิฉัน
“ไปสาวน้อย ไปลงเก็บข้อมูลสัมภาษณ์แม่ครูเรื่องผ้าไหมยกดอกลำพูนด้วยกันกับพี่แอ๊ว”
ละอายใจเหลือเกิน ดิฉันนั่งทำงานในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชยได้ 2-3 ปีแล้ว ยังไม่เคยมีความคิดที่จะลงพื้นที่เก็บข้อมูลสัมภาษณ์ช่างทอพ่อครูแม่ครูด้านผ้าไหมยกดอกเลย นั่งอยู่ในลำพูนแท้ๆ ต้องรอพี่แอ๊ว ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์จากส่วนกลางมาชวนลงพื้นที่
“ช่วงที่พี่แอ๊วเป็นหัวหน้าพิพิธภัณฑ์ลำพูนได้ 1 ปีเศษๆ นะน้องเพ็ญ แทบไม่มีวันไหนที่พี่แอ๊วนั่งอยู่ในออฟฟิศเลย ลำพูนเป็นเมืองใหญ่รุ่มรวยทางวัฒนธรรม วัดมากกว่า 400 แห่ง วัดร้างอีกพันแห่ง ภูมิปัญญาพ่อครูแม่ครู ด้านไม้แกะสลัก ผ้าทอ เครื่องเงิน เครื่องเขิน จักสาน อาหาร ดนตรีพื้นบ้าน ศิลปินร่วมสมัย ฯลฯ
“ภัณฑารักษ์ไม่ได้มีหน้าที่แค่นั่งทำทะเบียนโบราณวัตถุ หรือนั่งรอรับใครเอาโบราณวัตถุมาบริจาคเข้าพิพิธภัณฑ์ให้เราเท่านั้นนะคะสาวน้อย ไปเร้ว ไปกับพี่แอ๊ว เดี๋ยวจะพาลุย น้องเพ็ญเตรียมเครื่องอัดเทปคาสเส็ตมาด้วย
“น้องเพ็ญน่าจะรู้ดีอยู่แล้วนะคะ ว่าลำพูนเป็นเมืองเล็ก แต่วัฒนธรรมใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่สุดในล้านนาเลยก็ว่าได้ เมืองนี้ต้องการคนจริง คนใจใหญ่ คนขยันค่ะ ต้องทำงานเชิกรุก ไม่ใช่แค่ตั้งรับ น้องเพ็ญต้องช่วยสืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากพี่แอ๊วนะคะ พี่แอ๊วรักลำพูนมาก เสียดายที่พี่อยู่ที่นี่เพียงแค่ปีเศษๆ เท่านั้น พี่แอ๊วดีใจมากนะที่รู้ว่าน้องเพ็ญมาอยู่ลำพูน”
ค่ะพี่แอ๊ว จากการที่พี่สอนหนูให้ดูตัวอย่างของการขยันลงพื้นที่สัมภาษณ์บุคคล ที่ผ่านมา “สาวน้อยของพี่แอ๊ว” ก็ได้ทุ่มตัวรับใช้งานด้านโบราณคดี วัตถุสถาน วัฒนธรรมภูมิปัญญา ศิลปหัตถกรรม ภาษาจารึก ฯลฯ ให้แก่เมืองลำพูนชนิดหามรุ่งหามค่ำ ถวายหัวอย่างสุดความสามารถแล้ว
ดวงวิญญาณพี่ในสัมปรายภพย่อมสำเหนียกรู้ได้อย่างลึกซึ้งที่สุด •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022