รัฐบาลไทยพ่วงกระแส T-Pop แจมความสำเร็จ ‘ลิซ่า’ BLACKPINK Best K-Pop Video เวที VMAS 2022/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

รัฐบาลไทยพ่วงกระแส T-Pop

แจมความสำเร็จ ‘ลิซ่า’ BLACKPINK

Best K-Pop Video เวที VMAS 2022

 

เขียนประวัติศาสตร์ความสำเร็จของตัวเองได้อย่างงดงามและยิ่งใหญ่ไปอีกขั้น สำหรับนักร้องสาว “ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล” สาวไทยหนึ่งในสมาชิกวงแบล็กพิงค์ (BLACKPINK) วงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังในวงการเคป๊อป คนไทยคนแรกในค่ายวายจีเอนเตอร์เทนเมนต์ ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้

ที่ล่าสุดคว้ารางวัล “Best K-Pop Video” จากผลงานเพลง “LALISA” ที่อยู่ในอัลบั้มเดี่ยว ในงานประกาศรางวัล “MTV Video Music Awards 2022” (VMAs) ประเทศสหรัฐอเมริกา

เพลง LALISA ที่ทำให้ลิซ่าได้รับรางวัลนั้น ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา

และหากยังจำกันได้ มิวสิกวิดีโอดังกล่าว ทีมงานลิซ่าได้ใส่เอกลักษณ์และวัฒนธรรมความเป็นไทยลงไปด้วย

ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ได้แรงบันดาลใจจากปราสาทหินพนมรุ้ง ใน จ.บุรีรัมย์ บ้านเกิดของลิซ่า

หรือแม้แต่การสวมชุดไทยห่มสไบ ใส่รัดเกล้ายอด ที่กลายเป็นไวรัลให้แฟนคลับทั่วโลกหามาใส่ตาม

ซึ่งปัจจุบันเพลงดังกล่าวมียอดเข้าชมถึง 532 ล้านครั้ง

ตอกย้ำความสำเร็จลิซ่าได้เป็นอย่างดี

ลิซ่าถือเป็นศิลปินเคป๊อปหญิงเดี่ยวคนแรกของประวัติศาสตร์วงการเพลงเกาหลีที่ได้รับรางวัลนี้ และถือเป็นคนไทยคนที่ 2 ต่อจาก “คริสติน่า อากีล่าร์” นักร้องชื่อดังยุค 90 คนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลจากงาน MTV สาขา International Viewer’s Choice : MTV ASIA เมื่อปี 2535 โดยวินาทีที่ประกาศผลลิซ่าขึ้นไปรับรางวัลพร้อมกล่าวคำขอบคุณถึงทุกคนที่สนับสนุนจนเธอมาอยู่ตรงนี้ได้

“สวัสดีค่ะทุกคน อันดับแรกฉันอยากจะขอบคุณเวที MTV สำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ฉันอยากจะขอบคุณผู้ร่วมงานทุกท่านในโซโล่โปรเจ็กต์นี้ โดยเฉพาะเท็ดดี้อปป้า (ชื่อโปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงให้ลิซ่า) ที่ทำให้ LALISA พิเศษขนาดนี้ และชาว BLINK ทุกคน พวกคุณคือคนสำคัญที่สุด ขอบคุณที่ทำให้สิ่งนี้เป็นจริง”

ปิดท้ายด้วยการพูด “ขอบคุณเป็นภาษาไทย” และยกมือไหว้ส่งท้าย ในความสำเร็จที่เธอได้รับมาในครั้งนี้

 

ขณะที่ในโลกออนไลน์ ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ผู้คนได้ร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของลิซ่ากันถ้วนหน้า

ทำให้แฮชแท็ก #LisaHitsMTVStage ทะยานขึ้นติดอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์ในไทยและติดเทรนด์ยอดนิยมของโลกอยู่ตลอดทั้งวัน

ความสำเร็จของลิซ่าในครั้งนี้ แฟนคลับทุกคนรู้ดีว่ามาจากความสามารถ ตลอดจนความพยายามของเจ้าตัวล้วนๆ

จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่นชอบในการเต้น จนสามารถออดิชั่นเข้าไปเป็นเด็กฝึกในค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ติดท็อปอันดับ 3 ของเกาหลีใต้ได้ตั้งแต่อายุ 14 ปี ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย หากความสามารถไม่ประจักษ์ชัดต่อสายตาเจ้าของค่ายได้จริง ท่ามกลางความกดดันรอบด้าน ทั้งการแข่งขันและอุปสรรคอย่างเรื่องภาษา

แต่ด้วยพรสวรรค์ ความพยายาม ความอดทน และแรงสนับสนุนจากครอบครัวที่เมืองไทย ในที่สุดก็หลอมรวมเป็นพลังส่งให้ลิซ่าทำสำเร็จ และได้กลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกวงแบล็กพิงค์อย่างในวันนี้

#LISA ขึ้นติดเทรนด์ทวิตเตอร์ความนิยมระดับโลกในวันที่ลิซ่าเดบิวต์เป็นสมาชิกวงแบล็กพิงค์อย่างเต็มตัว ด้วยความสามารถทั้งการเต้นและแร็พ ทำให้ลิซ่ากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในระยะเวลาอันรวดเร็ว และกลายมาเป็นศิลปินเคป๊อปที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก มีผู้ติดตามในอินสตาแกรมถึง 81.5 ล้านคน มากที่สุดในบรรดาศิลปินเคป๊อป

ไปจนถึงถูกเลือกจากแบรนด์สินค้าชื่อดังระดับโลกให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

ความฮอตของลิซ่ามีผลต่อทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็เป็นกระแสได้หมด โดยเฉพาะอาหารไทยอย่าง ลูกชิ้นยืนกิน, โรตีสายไหม, หรือแม้แต่หมูกระทะ กลายเป็นเมนูยอดฮิตให้แฟนๆ แห่ไปกินตามรอยลิซ่า ช่วยกระตุ้นยอดขายให้พ่อค้าแม่ค้ากลับมาขายได้อย่างคึกคักอีกครั้ง

 

รางวัลแห่งเกียรติยศของลิซ่าในครั้งนี้ นอกจากจะสร้างความภาคภูมิใจให้เจ้าตัว สมาชิกในวง ครอบครัว ตลอดจนแฟนคลับแล้ว

ยังได้รับคำชื่นชมจากรัฐบาลไทยเช่นกัน ทั้งจาก “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวคำชื่นชมถึงลิซ่าที่สามารถคว้ารางวัลและสร้างชื่อให้คนไทยบนเวทีโลก พร้อมกระตุ้น Soft Power ของไทยได้เป็นอย่างดี ระบุว่า

“ขอยกย่องว่า เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ นับเป็นความภาคภูมิใจให้กับคนไทย ที่ไม่เพียงแสดงออกมาจากความสามารถ แต่ยังรวมถึงทัศนคติ การแสดงออกความเป็นไทย อย่างการขอบคุณด้วยภาษาไทยบนเวทีโลก ว่า ขอบคุณค่ะ ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังของ Soft Power ที่รัฐบาลมุ่งที่จะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ พัฒนาแปลงวัฒนธรรมให้เป็นการสร้างรายได้ ในทุกสาขาอาชีพ”

รวมถึง “นายอนุชา บูรพชัยศรี” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาชื่นชมลิซ่าด้วย หลังแสดงความเป็นไทยด้วยการไหว้และกล่าวขอบคุณเป็นภาษาไทย จากการได้รับรางวัล Best K-Pop Video

“รัฐบาลขอแสดงความยินดี และชื่นชมความสำเร็จของลิซ่า ที่ได้สร้างความภาคภูมิใจให้แฟนคลับชาวไทย และแฟนคลับทั่วโลก ลิซ่าได้ไหว้และกล่าวขอบคุณเป็นภาษาไทยในช่วงท้ายของการขึ้นรับรางวัลในครั้งนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของเยาวชนไทยที่ไม่ลืมความเป็นไทย”

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลชุดนี้ออกมาพูดชื่นชมกระแสความสำเร็จของลิซ่า หากยังจำกันได้เมื่อครั้งเพลง LALISA ปล่อยออกมา รัฐบาลก็เคยออกมาแจมกระแสความนิยมของลิซ่าเช่นกัน รวมถึงเคยติดต่อให้ลิซ่ามาร่วมงานเคาต์ดาวน์ปีใหม่ 2565 เพื่อหวังให้ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาไทย เพราะลำพังรัฐบาลลงมือทำเองคงไม่สามารถทำได้เท่ากับการใช้กระแสของลิซ่า

แต่ก็ไม่สำเร็จเมื่อค่ายปฏิเสธเนื่องด้วยตารางงานของลิซ่าที่ถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว

ไม่เพียงแต่กระแสลิซ่าที่รัฐบาลเข้าไปร่วมแจม เมื่อครั้งแร็พเปอร์สาว “มิลลิ-ดนุภา คณาธีรกุล” ไปร่วมงาน Coachella 2022 พร้อมนำข้าวเหนียวมะม่วงขึ้นไปประกาศความอร่อยสู่สายตาชาวโลก จนทำให้ยอดขายในไทยขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ก็เคยถูกรัฐบาลชุดนี้ร่วมโหนความสำเร็จมาแล้วเช่นกัน

ว่ากันตามตรง การที่รัฐบาลออกมาร่วมแสดงความยินดีกับศิลปินไทยที่ไปสร้างชื่อในต่างประเทศ ดูจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร หากไม่ใช่การชมที่ประหนึ่งว่าเป็นคนคอยส่งเสริมและผลักดัน จนศิลปินคนนั้นประสบความสำเร็จ

ซึ่งเรื่องนี้แฟนคลับพากันพูดในเชิงขำขันแกมแซะรัฐบาลบ่อยๆ ว่า “ตอนเขาฝึกไม่ช่วยผลักดัน ทำไมตอนดังแล้วขยันเกาะกระแสจัง”

และนำไปสู่การตั้งคำถามอย่างจริงจังตามมาว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลไทยจะมองเห็นความสามารถและช่วยสนับสนุนศิลปินไทยในประเทศที่เก่งและมีฝีมือ เพื่อให้ไปโด่งดังในต่างประเทศบ้าง

ไม่ใช่ให้ศิลปินพากันดิ้นรนด้วยตัวเอง แล้ววันหนึ่งที่ประสบความสำเร็จกลับมา ก็ตีเนียนมาร่วมแจมความสำเร็จด้วยการพูดว่า “เป็นคนไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ” อย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้

 

ซึ่งการผลักดันที่รัฐบาลทำได้ง่ายๆ คือการเปลี่ยนทัศนคติมุมมองของผู้มีอำนาจและคนในสังคม (บางส่วน) ให้ยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรมสื่อบันเทิง ในวันที่โลกพัฒนาไปไกลแล้ว ไม่จำกัดอยู่ในกรอบหรือแนวคิดเดิมๆ

เพราะหากดูตัวอย่างความสำเร็จของอุตสาหกรรมเคป๊อปในเกาหลีใต้ ที่เด็กไทยหลายคนไปได้ดีตรงนั้น เกิดจากการที่รัฐบาลเห็นคุณค่าและให้การสนับสนุน รวมถึงไม่เคยปิดกั้น ทำให้วงการเคป๊อปพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็น Soft Power ที่ยั่งยืน สร้างมูลค่าเม็ดเงินมหาศาลให้ประเทศเกาหลีใต้ไปได้อีกนาน

สุดท้ายนี้รัฐบาลไทยคงต้องลองหันกลับมาคิดทบทวนดูใหม่ ว่าถึงเวลาหรือยังที่จะออกตัวผลักดันวงการ T-Pop ไทยให้ไปไกลในต่างประเทศ หากยังอยากได้เงินเข้าประเทศจาก Soft Power ตรงนี้ ทั้งที่มีทรัพยากรเพียงพอให้สนับสนุนและส่งเสริม

เผื่อจะได้ไม่ต้องถูกแซะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเวลาออกมาตีเนียนเกาะกระแส อ้างความเป็นไทยในความสำเร็จของศิลปิน อย่างกรณีลิซ่า แบล็กพิงค์ เป็นต้น