NEW 3 ป. ป้อม-ปึ๋ง-ปั๋ง/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

NEW 3 ป.

ป้อม-ปึ๋ง-ปั๋ง

 

แม้ตำแหน่ง “รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

จะเป็นตำแหน่ง “ชั่วคราว”

แต่ก็เป็นความ “ชั่วคราว” ที่สร้างความคึกคักให้ ป.ป้อม ใช้ “ใจ” บันดาล “แรง”

จนเกิดภาวะ “ป้อม-ปึ๋ง-ปั๋ง” อย่างมีนัยสำคัญ

สำคัญทั้งโดยนิตินัย และพฤตินัย

 

นิตินัยนั้น เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอย่างเป็นทางการ เห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี มอบหมายและมอบอำนาจให้ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี

โดยมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่ในการเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการหรือองค์กรใด ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีคำสั่งพักงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีคำวินิจฉัยอย่างอื่น

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงย้ำว่า ครม.ชุดนี้มีอำนาจเต็มทุกประการ ไม่ใช่ ครม.รักษาการ

เช่นเดียวกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ตอกย้ำอีกครั้งว่า

ไม่มีสุญญากาศในการบริหารประเทศอย่างแน่นอน

ยิ่งกว่านั้น คำสั่งสำนักนายกฯ ดังกล่าว ที่เดิมเคยระบุในคำสั่งว่า หากมีการแต่งตั้งโยกย้าย หรือมีเรื่องงบประมาณ ผู้ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี จะต้องไปปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก่อน แต่เมื่อนายกฯ อยู่ระหว่างหยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงมีการแก้คำสั่ง โดยตัดประโยคนี้ออกไป เพื่อให้ พล.อ.ประวิตรมีอำนาจเต็มในการการแต่งตั้งโยกย้าย หรือการอนุมัติงบประมาณ โดยมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 24 สิงหาคม

ดังนั้น ในทางนิตินัย พล.อ.ประวิตรจึงมีอำนาจนายกฯ “เต็ม” ทุกประการ

 

กระนั้น แม้ พล.อ.ประวิตรจะมีอำนาจเต็มในทางนิตินัยอย่างที่กล่าว

แต่ในทางพฤตินัย ดูเหมือน พล.อ.ประวิตรจะระมัดระวังการใช้อำนาจตามนิตินัยอย่างมาก

และบางเรื่อง ถึงจะไม่มีกฎหมายระบุไว้ พล.อ.ประวิตรก็ดูจะระมัดระวังเช่นกัน เพื่อไม่ให้ไปกระทบความรู้สึกใคร โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์

เช่น ในการประชุมคณะรัฐมนตรี สำนักโฆษกประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ภาพบรรยากาศการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่ง พล.อ.ประวิตรเป็นประธาน

ปรากฏว่า ภาพที่เผยแพร่ออกมานั้น พล.อ.ประวิตรไม่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ โดยปล่อยเก้าอี้นายกฯ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยนั่งเป็นประธานการประชุมทุกครั้งให้ว่างไว้

โดย พล.อ.ประวิตรได้นั่งเก้าอี้รองนายกฯ ตามเดิม

ซึ่งมองเป็นอื่นใดไม่ได้ นอกจาก พล.อ.ประวิตรต้องการสื่อให้สังคมเห็นว่า แม้จะมีอำนาจเต็ม แต่ก็ไม่ได้เข้าไป “แทน” ในทุกเรื่อง

เช่นเดียวกับวาระงานต่างๆ ในทำเนียบ พล.อ.ประวิตรเลือกที่จะใช้มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เป็นที่ปฏิบัติงาน โดยใช้วิธีการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แทน

พยายามไม่ย้ำรอย พล.อ.ประยุทธ์ อันอาจจะกระทบความรู้สึกของนายกฯ ที่อยู่ระหว่างการพักงาน

ถือเป็นความละเอียดอ่อนที่ “พี่ป้อม” ไม่ละเลย ส่งผลให้ “ดีกรี” ความรู้สึกการเบียดชิงอำนาจลดน้อยลงไปอย่างมาก

 

ภาวะที่แสดงออกถึงการไม่อยากได้ ไม่อยากเอา ของพี่ป้อม นอกจากจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์สบายใจแล้ว

ยังช่วยลดแรงกดดันต่อตัวของ พล.อ.ประวิตร

ด้วยทันทีที่ พล.อ.ประวิตรรักษาการโดยมีอำนาจเต็มนั้น มีการคาดหมายว่า พล.อ.ประวิตรอาจจะใช้อำนาจเต็มทางกฎหมาย ฉวยจังหวะปรับ ครม. หรือโยกย้ายข้าราชการ เพื่อปูทางสู่การครองอำนาจในอนาคตอันใกล้

แต่ พล.อ.ประวิตรก็ไม่เดินไปตามเกมดังกล่าว ด้วยการยืนยันไม่มีการปรับ ครม.

“ปรับทำไม ยังทำงานได้อยู่นี่” คือคำพูดของพี่ป้อม

ซึ่งนั่นย่อมทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มั่นคงในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ขณะเดียวกันพรรคร่วมรัฐบาลก็สบายใจ ที่จะไม่ถูกแซะเก้าอี้รัฐมนตรีในโควต้า

ทำให้การเมืองไม่กระเพื่อม

ส่วนการโยกย้ายข้าราชการนั้น งานแรกที่ประเดิมนั่นก็คือการโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ปรากฏว่า พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้เข้าไปรื้อ หรือเปลี่ยนแปลงอย่างที่มีคาดหมายไว้

โผส่วนใหญ่ยังเป็นไปตามทื่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธาน ก.ตร.พิจารณาไว้

และโผการโยกย้ายทหาร พล.อ.ประวิตรก็คงยึดแนวทางเดิม คือปล่อยให้เป็นการพิจารณาของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ ร่วมกับบอร์ดผู้บัญชาการเหล่าทัพ

อันทำให้การบริหารราชการดำเนินไปตามครรลอง ไม่ได้ “รื้อ” แล้ว “ร้อน” อย่างที่มีการตั้งข้อสังเกตไว้

 

นี่ย่อมถือเป็นกุศโลบายของผู้มีประสบการณ์สูงอย่าง พล.อ.ประวิตรเลือกเดิน

เดินไปโดยไร้แรงเสียดทาน

และไม่ได้สร้างความขัดแย้งอย่างที่มีการจับตามอง

แต่ถามว่า พล.อ.ประวิตรไม่ได้หือได้อือกับตำแหน่งรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เลยหรือเปล่า

คำตอบคือเปล่าเลย พล.อ.ประวิตรยังใช้ประโยชน์ “นายกฯ ชั่วคราว” ในเชิงบริหารอย่างน่าสนใจ

โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตรรู้ดีว่า ตกอยู่ในโฟกัสของสื่อมวลชนและสังคม ทำให้บุคลิกภาพ “ด้านลบ” บางส่วนลดทอนลงไป เช่น คำพูดติดปากแบบ “ไม่รู้ ไม่รู้” หรือการหงุดหงิดง่าย น้อยลงอย่างจับสังเกตได้

ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

ขณะเดียวกันภาพที่ต้องคอยมีบอดี้การ์ดคอยประคองเดิน อันสะท้อนถึงปัญหาสุขภาพก็ลดลง

ภาพ พล.อ.ประวิตรที่เดินหรือเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว กระปี้กระเปร่า เข้ามาแทนที่

เป็นภาษากายที่บอกว่า พร้อมทำงานในฐานะผู้นำ ไม่ได้ป้อแป้หรือไร้น้ำยาแต่อย่างใด

มีความกระฉับกระเฉง ที่พร้อมจะทำงานในเชิงรุก

 

รุกอย่างกรณี พล.อ.ประวิตรต่อโทรศัพท์ไปยังนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เสนอการช่วยเหลือเตรียมการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ กทม.

โดยย้ำถึงการที่รัฐบาลมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนชาว กทม. ยินดีช่วยเหลือ กทม.ในทุกเรื่อง ซึ่งสามารถต่อโทรศัพท์สายตรงถึงตนเองได้ทันที พร้อมได้ให้หมายเลขติดต่อโดยตรงไว้ด้วย พร้อมสั่งตั้งทีมทำงานประสานงานกับ กทม.อย่างใกล้ชิด

และยังแจ้งจะส่งทหารมาเสริมกำลัง หน่วยงานกองระบบท่อระบายน้ำ สำนักการระบายน้ำ กทม. ดำเนินการบรรจุกระสอบทรายและเรียงแนวกระสอบทรายด้วย

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตรยังโทรศัพท์สายตรงพูดคุยกับนายวีระชัย นาคมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำลังประสบปัญหาอุทกภัยอยู่ในขณะนี้ และเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง

โดยได้กำชับและสั่งการเร่งรัดให้เกิดการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

นี่ต้องถือว่าเป็นกระบวนท่าในการบริหารจัดการต่อวิกฤตในท่วงทำนองแบบถึงลูกถึงคน ซึ่งท่วงทำนองอย่างนี้ไม่ค่อยพบเห็นกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยึดหลักการบริหารที่มากด้วยขั้นตอนและพิธีการ

จึงถือเป็นลักษณะพิเศษ “ใหม่” ในทางการเมือง ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ประวิตรนั่งรักษาการนายกฯ

นั่นคือ ด้านหนึ่ง ไม่ขยายเรื่องที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง

อีกด้านหนึ่ง ก็คือยื่นมือไปประสานการทำงานกับคนอื่น

โดยเฉพาะคนอื่นอย่างนายชัชชาติ ที่กำลังเป็นโมเดลของการขับเคลื่อนทางการเมือง แบบ ทำงาน ทำงาน ทำงาน

ทำให้ พล.อ.ประวิตรสอดแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกระแสนั้น ได้อย่างนุ่มเนียน

แน่นอน ย่อมแตกต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ดำรงความเป็นศูนย์กลางของอำนาจอย่างเข้มข้น

 

นี่จึงนำไปสู่ความรู้สึกในเชิงเปรียบเทียบระหว่างการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร อย่างแน่นอน

นั่นคือขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เข้มแข็งผ่านอำนาจ

แต่ พล.อ.ประวิตรดำเนินการผ่านบารมีและการเปิดกว้างสร้างความสัมพันธ์

ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับกระแสสังคม ที่ต้องการประนีประนอมระหว่างฝ่ายต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะพรรคการเมือง

เพียงไม่กี่วัน พล.อ.ประวิตรได้แสดงจุดนี้ออกมาให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญ

และแนวทางนี้ อาจเป็นแนวทางที่ พล.อ.ประวิตรน่าจะเลือกมาใช้เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากกองเชียร์

ซึ่งหากมีมากพอ พร้อมประสานไปกับบารมี และคอนเน็กชั่นในกองทัพ ในระบบราชการ รวมทั้งวุฒิสภา และพรรคร่วมรัฐบาล ก็อาจจะทำให้ พล.อ.ประวิตรเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการชิงนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในอนาคต

 

ไม่ว่าเวลาของตำแหน่ง “รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี” ของ พล.อ.ประวิตรจะมีมากน้อยเพียงใด

แต่ที่สังคมรับรู้ จับต้องได้ขณะนี้ก็คือ ความเคลื่อนไหวที่พร้อม “จะไปต่อ” อย่างเต็มเปี่ยมของ พล.อ.ประวิตร

ดังที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประเมินผ่าน CARE Talk x Care ClubHouse ว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากตำแหน่งจริง

มีโอกาสที่ พล.อ.ประวิตรจะเข้ามาเป็นนายกฯ คนนอกตามมาตรา 272 วรรคสอง เพราะนายกฯ คนนอก คนอื่นดูจะเข้าไปเป็นยาก ด้วย ส.ว.เป็นตัวล็อกอยู่ เนื่องจากเป็นคนของ พล.อ.ประวิตรทั้งนั้น

เมื่อ พล.อ.ประวิตรยังมีพลัง ส.ว.หนุนเยอะอยู่ นายทักษิณจึงประเมินว่า พล.อ.ประวิตรมีโอกาส 50 : 50 ที่จะได้เป็นนายกฯ คนนอก อันจะทำพลังประชารัฐคึกคักขึ้นมา

แต่ถึง พล.อ.ประวิตรจะไม่ได้เป็น ก็ไม่น่าจะมีใครอื่นได้เป็นเช่นกัน น่าจะนำไปสู่ภาวะเดตล็อก จนต้องยุบสภาในที่สุด

ซึ่งนายทักษิณมองข้ามช็อตว่า ต้องตามไปดูว่าพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ ซึ่งคงไม่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน

ย่อมเป็น พล.อ.ประวิตร หรือไม่ก็ต้องเป็นคนของ พล.อ.ประวิตรที่จะเข้ามาทำงานแทนให้ ซึ่งนายทักษิณทิ้งเป็นปริศนาไว้ว่า “อาจจะเปลี่ยนจากทหารเป็นตำรวจ ที่เขาว่าเป็น ป.ที่สี่”

จะหมายถึงใคร ย่อมไม่ยากจะคาดเดา แต่แน่นอนที่สุดต้องถือเป็นสายตรงของ พล.อ.ประวิตร

ดังนั้น ไม่ว่า พล.อ.ประวิตรจะได้เป็นนายกฯ คนนอก หรือไม่ได้เป็น ให้คนอื่นมาเป็นแทน

แต่ก็คาดหมายต้องอยู่ในกำมือของ ป.ป้อมทั้งสิ้น

แนวโน้มเช่นนี้เอง ทำให้ตอนนี้ พล.อ.ประวิตร มากด้วยความคึกคัก

เมื่อเจอนักข่าวถามว่าทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีเหนื่อยหรือไม่

คำตอบจาก พล.อ.ประวิตรคือ “ไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อย”

ไม่เหนื่อย แถมสุขภาพยังดูดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา

ซึ่ง พล.อ.ประวิตรให้เหตุผลว่า เพราะ “ใจบันดาลแรง”

เมื่อ “ใจ” ดี “แรง” ก็ย่อมดีไปด้วย

สามารถโชว์ฟิต “ปึ๋ง-ปั๋ง” ตามล่าหาฝันทางการเมืองได้อย่างคึกคัก อย่างที่แลเห็น!?!