พลเมืองบันดาล : ยาว-สั้นบนอำนาจ/อัญเจียแขฺมร์ อภิญญา ตะวันออก

อภิญญา ตะวันออก

อัญเจียแขฺมร์

อภิญญา ตะวันออก

 

พลเมืองบันดาล

: ยาว-สั้นบนอำนาจ

 

มี 2 ช่วงเวลาในพนมเปญของฉันที่เมื่อย้อนเวลากลับไป ตอนหนึ่งคือวันที่เพื่อนชาวกัมพูชาบอกฉันว่า เขากำลังจะแต่งงานกับหลานสาวสมเด็จฮุน เซน

ตั้งแต่วันนั้น เวีย สนา ก็ทิ้งอดีตแต่หนหลัง แต่ฉันก็ไม่รู้ว่า การ “ดอง” เป็น “เจาผซา” หรือหลานเขยตระกูลดังที่อาจส่งผลต่ออาชีพเดิมของเขาในอนาคต แต่กลับยืนยันถึงคติยึดมั่นทางสังคมเดิมด้านการสมรสว่า ชาติตระกูลชนชั้นยังมีความสำคัญอันดับแรกในการแต่งงาน

แม้ระบอบเขมรแดงจะลายระบบชนชั้นด้านการสมรสกัมพูชายุคปีสังคมไปเกือบทั้งหมดแล้ว แต่ผ่านเพียงชีวิตครึ่งเดียวของเวีย สนา เขาก็กลับสู่ที่เก่า ที่ซึ่งครอบครัวในอดีตยึดมั่นและผ่านมา ทว่า ทั้งนี้เขาเลือกมันด้วยตัวเอง

นั่นคือชีวิตของเวีย สนา ที่ฉันคิดว่าไม่น่าจะเปลี่ยนไปมากสำหรับกับดักอาชีพเก่าที่ไม่ก้าวหน้าของเขา ในบางครั้งก็จินตนาการไม่ออกว่า นี่คือเด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยถูกส่งไปร่ำเรียนอาชีพช่างภาพที่เวียดนาม แต่เมื่อกลับบ้านเกิด เขากลับทำอาชีพเสริมเป็นหน่วยสืบจารกรรม โชคดีเมื่อสิ้นสุดยุคสงครามเย็น อาชีพที่ว่าก็ถึงกาลตกต่ำและทำให้เวีย สนา หันไปหาอาชีพใหม่คือเก็งกำไรที่ดินที่ขณะนั้นเขมรยังไม่เรียกว่า นักอสังหาริมทรัพย์

เครดิตภาพ : The Alternative UK

เดิมที ฉันก็นึกโกรธยุคสมัยจากผลของสงครามเวียดนาม-เขมรแดง ที่ทำให้ครอบครัวผู้คนล่มสลายและเด็กคนหนึ่งต้องดิ้นรนมีชีวิตพลิกผันและทำให้เขาพลีตนกับอาชีพลึกลับ แต่นั่นก็ทำให้เขาพัฒนาตนเองไปมีอาชีพอีกหลากหลาย รวมทั้งสร้างเครือข่ายอื่นๆ

แรกเลย ฉันรู้สึกโล่งใจเมื่อสนาจบอาชีพเก่านั้นเสียได้และเริ่มชีวิตใหม่กับครอบครัว แม้จะแอบใจหายว่า ในที่สุดสหายของเราก็เข้าสู่วังวนเครือข่ายของนายทุนตามฐานะดองของคู่สมรส

ทว่า เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง ฉันก็พบข่าวประหลาด ถึงไฮโซจีนที่มีฉากหลังเป็นนักเก็งกำไรและมีเครือข่ายสมรสกับหลานสาวสมเด็จฮุน เซน

ในภาษานักข่าว คำว่า “หลานสาวสมเด็จฮุน เซน” มีความหมายได้ว่าคือ “นักเก็งกำไร”? แล้วตอนนี้ อาชีพนักอสังหาริมทรัพย์ของที่นั่น ก็กำลัง “ขาลง” หรืออาจหมด “เวียสนา”? อายุกาล ดังที่เห็นตึกร้างหลายพันแห่งที่ตามมา

ได้โปรดเถอะเวีย สนา! หากว่าฉันจะมีนิสัยไปเป็นเหมือนสายลับ ถอดรหัสชีวิตเธอ!

เครดิตภาพ : ASEAN Foundation

ความจริง สิ่งที่ฉันทำอยู่นั้น มันเป็นเรื่องของผู้นำคนหนึ่ง! เขาเดินทางผ่านระยะการตำแหน่งมายาวนานถึง 28 ปีกับอีก 8 เดือน และนี่คือโมเดลแห่งการครองอำนาจที่ไม่เคยถูกตั้งคำถาม ทั้งการขับไล่ไสส่งจากประชาชน

สมเด็จฮุน เซน ช่างเป็นผู้โชคดีที่สุกปลั่งไปด้วยอำนาจบารมี ที่น่าทึ่ง เพราะขณะที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านใครบางคนติดคุก หลุดตำแหน่ง และถูกเช็กบิลจากประชาชนอย่างน่าทุกข์เวทนาอยู่นั้น ฮุน เซน ไม่เคยเผชิญกับผลกรรมนั้นเลยไม่ว่าใดๆ ตรงข้าม

ว่ากันตามตรงเขายังวางกรอบพิมพ์เขียวทางการเมืองให้แก่ทายาทของตนอีกด้วย

ซึ่งเท่ากับเขาทำสถิติด้านความเป็นผู้นำในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยืนยงยาวนานที่สุดในโลกไปแล้วเวลานี้

แต่อย่างที่คิดว่า ตัวเลขนี้ถูกต้องแล้ว ความจริง หากนับตั้งแต่รัฐบาลกัมพูชาปรอเจียประนิตหรือสาธารณรัฐกัมพูชาประนิต (2522-2532) แล้ว ท่านจะไม่ถึงว่า สมเด็จฮุน เซน นั้น ครองสถิติความเป็นผู้นำสูงสุดอย่างลับๆ โดยสลับกับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในบางวาระ มาเป็นเวลา 33 ปีแล้ว

โดยตลอด 28 ปีนั้น เขาผ่านการเลือกตั้งมาทั้งหมด 6 ครั้ง พ่ายแพ้ 1 ครั้ง แต่ก็สามารถร่วม ครม.ได้ ซึ่งเหลืออีกปีเดียว หากว่าฮุน เซน จะสร้างสถิติเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยและลอยลำชนะ เขาก็จะสร้างสถิติใหม่ โดยไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนวลาดิมีร์ ปูติน หรือสี จิ้นผิง ใดๆ

ไม่เท่านั้น การที่เขายืนยงครองอำนาจยาวนาน มันเลยเกิดปรากฏการณ์ที่ “คู่แข่ง” ทางอำนาจ ล้มหายตายจาก “เจียนิจ” จนพูนเชิงตะกอนของฝ่ายพ่ายแพ้ที่สะสมเป็นสถิติ-อีกด้านหนึ่ง

เครดิตภาพ : youtube One31

ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่ถูกกักบริเวณ กึม สกขา ผู้พบว่า ชีวิตหลังการเมืองของเขาคือไปขึ้นศาล หรือมิฉะนั้น ก็เฝ้ารออาคันตุกะต่างชาติอยู่ที่บ้าน ชะตากรรมกึม สกขา ที่นัยว่า ช่วยรื้อฟื้นความทรงจำหนหลังของแปน โสวัน อดีตนายกรัฐมนตรีประเจียประนิตอีกคนที่ถูกกักบริเวณในบ้านพักในเวียดนามถึง 8 ปี จึงได้กลับประเทศ

ซึ่งก็นับว่ายังปรานี เมื่อเทียบกับนายจัน ซี อดีตนายกรัฐมนตรีประเจียประนิตคนต่อมาที่ไปถูกลอบสังหารและถึงแก่อนิจกรรม ณ กรุงมอสโก และอีกมากมายที่เผชิญหน้ากับความตาย ตลอด 2 ทศวรรษระบอบฮุนเซน ซึ่งช่างเป็นเรื่องปกติ-ปรอกะได

ก่อนหน้า เจีย วิเจีย ประธานสหภาพแรงงานจะถูกยิงตายในปี 2547 นั้น นักหนังสืออิสระยุค 90 และครอบครัวจำนวนหนึ่ง หลายคนถึงกับทนไม่ได้ ลี้ภัยออกนอกประเทศ หลังสิ้นเจีย วิเจีย แล้ว สิ่งที่ตามมาหาใช่สถูปอนุสรณ์ แต่เป็นความอ่อนแอของสหภาพแรงงานกัมพูชาที่ตกต่ำไร้การต่อรองต่อฝ่ายรัฐอย่างสมบูรณ์

8 ปีหลังผู้นำแรงงาน ฌุด วุทธี นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมก็จบชีวิตตามไปในลักษณะโหดร้าย เมื่อเขาถูกล้อมยิงจากตำรวจที่สารภาพภายหลังว่าตนมีจิตวิกลจริต

เมื่อแสงสว่างของภาคประชาสังคมทางตะวันตกเฉียงใต้ฝ่ายอนุรักษ์ถูกดับลงจากการตายของฌุด วุทธี แล้ว พลวัตนักสิ่งแวดล้อมฝ่ายก้าวหน้าก็ซวนเซ บ้างถูกขับออกนอกประเทศ บ้างลี้ภัย จนบัดนี้ นักสิ่งแวดล้อมกัมพูชาถูกจับกุมยัดคดี ติดคุกกันมากมายและไม่มีใครเหลือรอด

จนถึงยุคของแกม เล็ย เมื่อรำลึกถึงการตายของฌุด วุทธี เพิ่งผ่านไปได้เพียง 4 ปี

เครดิตภาพ : ไทยรัฐออนไลน์

แกม เล็ย คือมรดกสุดท้ายแห่งการต่อสู้และพลีชีพที่สร้างพลวัตแก่ชาวกัมพูชารุ่นใหม่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้ความตายของเหล่าแกนนำนักเคลื่อนไหวถูกพรากพลวัตบางอย่างไป แต่สิ่งที่แกม เล็ย ก่อไว้และทิ้งเป็นมรดกนั้นยังไม่ถึงกับสูญไป

เมื่อหนุ่มสาวเขมรรุ่นใหม่เพิ่งค้นพบบางอย่างว่า นี่คือ “วาระการต่อสู้ในภาคประชาชน!” กระนั้น กว่าที่เธอและเขาจะเข้าใจกลไกนี้ ก็ผลาญเวลาหลังความตายของแกม เล็ย จนล่วงเลยไป 6 ปี

ในความไม่ “ปรอกะได” ของพลวัตนักเคลื่อนไหวกัมพูชาที่ผ่านทางปรากฏการณ์ในความตายของแกม เล็ย นี้ นับเป็นกับดักความหวาดกลัวที่สะสมมายาวนานจนเป็นความเฉื่อยเนือยอย่างที่ปรากฏในประเทศนี้

จนเกิดความเชื่อว่า ไม่มีพลวัตใหม่ใดๆ ในหนุ่มสาวชาวเขมร เยี่ยงที่เห็นความเคลื่อนไหวในไทยและเมียนมา เนื่องจากพลังงานที่ว่านี้ได้สิ้นไปพร้อมกับลมหายใจของ ดร.แกม เล็ย แล้วนั่นเอง

แต่แล้วในเดือนกรกฎาคมที่ผ่าน นักวิชาการและหนุ่มสาวกลุ่มเล็กๆ ก็กลับมาจัดงาน “รำลึกถึงแกม เล็ย” อีกครั้ง หมุดหมายในเชิงสัญลักษณ์แห่งกรณีศึกษาที่อาจเป็นเหมือนต้นกำเนิดของพลวัตใหม่อีกด้านที่หายไปของหมู่ชาวกัมพูชา และนั่นคือ การต่อสู้ภาคประชาชน

ดังจะเห็นระยะคล้อยหลังมานี้ มีหนุ่มสาวเขมรในเขตเมืองต่างๆ พากันต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ในฉบับของตนอย่างระมัดระวังว่า การกวาดล้างจับกุมกิจกรรมอันเกี่ยวกับแกม เล็ย จะกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่มีเยาวชนถูกซิวเข้าตะรางข้อหายุยงปลุกปั่นกฎหมายความมั่นคงมาแล้ว กระนั้น ก็ใช่ทีว่า ภูมิรัฐศาสตร์สมัยใหม่กัมพูชาโดยภาคประชาชน จะเกิดขึ้นไม่ได้

แค่ก้าวข้ามกับดักอดีตที่ดองตนจนเฉื่อยชา ไปสู่ความเป็นพลเมืองผู้กล้าหาญ ออกมาทำสิ่งอันบรรลุเป้าหมาย (achieve citizen) ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะภารกิจหยุดสถิติอำนาจรัฐเผด็จการ ซึ่งคนรุ่นใหม่ร่วมภูมิภาคกำลังทำภารกิจ-หยุดสถิตินั้น!

และหากกัมพูชาหยุดสมเด็จฮุน เซน ได้ คงได้ชื่อว่า “พลเมืองผู้บรรลุ”