บางอย่างในความรักของเรา (23) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (23)

 

ผมเคาะประตูห้องพักของอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นจังหวะสองถึงสามครั้งก่อนจะได้ยินเสียงจากด้านในบอกให้ผมเข้าไปได้

โต๊ะของอาจารย์ที่ปรึกษาผมเต็มไปด้วยตำรับตำราและเอกสารจำนวนมาก วูบแรกที่เห็น ผมหวนนึกถึงโต๊ะของบรรณาธิการ แต่แล้วผมก็เปลี่ยนความคิด โต๊ะที่รกเรื้อด้วยหนังสือและกระดาษไม่ได้หมายความว่าผู้คนที่เป็นเจ้าของโต๊ะจะมีอุปนิสัยเหมือนกัน

ผมรู้สึกถึงความเคร่งขรึมจริงจังแตกต่างจากห้องของบรรณาธิการ

อาจารย์ที่ปรึกษาของผมเป็นผู้หญิง เพิ่งสำเร็จการศึกษาด้านการเงินกลับมาจากประเทศสหรัฐ ปริญญาบัตรในภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยชั้นนำถูกนำใส่กรอบติดอยู่บนฝาผนังห้อง อาจารย์ที่ปรึกษาของผมคงเป็นคนเก่งและมีความสามารถมากทีเดียว แต่ผมรู้จักอาจารย์น้อยเต็มที นอกจากการพบเพื่อเซ็นใบลงทะเบียนวิชาและเข้ามารับรายงานผลการศึกษา ผมแทบไม่เคยขึ้นมาที่ชั้นห้องพักของอาจารย์เลย ผมรู้สึกผิดที่ผิดทางกับคณะการศึกษาของตน

และในตอนนี้ผมรู้สึกผิดที่ผิดทางกับทุกสิ่งในชีวิตมากขึ้นทุกที

 

ผมยืนอยู่ภายในห้องราวห้านาที ก่อนที่อาจารย์จะบอกให้ผมนั่งลงก่อนจะเอ่ยถามว่า “มาส่งรายงานวิชาการเงินส่วนบุคคลใช่ไหม ไหนล่ะเอกสารของเธอ” ผมตอบว่าไม่มีเอกสาร และในตอนนั้นเองที่อาจารย์ที่ปรึกษาของผมเงยหน้าขึ้น “เธอมีธุระอะไรหรือ?”

ผมมาตามประกาศของคณะ ผมเอ่ยตอบ ผมมาตามประกาศของคณะให้ผมมาพบอาจารย์ที่ปรึกษา

“ประกาศของคณะ” อาจารย์ทวนคำ “เธอชื่ออะไรนะ?”

ผมเอ่ยชื่อของผม อาจารย์พลิกแฟ้มเอกสารบนโต๊ะไปมา มีรายงานการเงินของบริษัทใหญ่หลายเล่ม มีเสียงโทรศัพท์จากโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น เธอยกหูโทรศัพท์ “ค่ะ เสร็จทันแน่ค่ะอาทิตย์นี้ รบกวนคุณแจ้งท่านประธานด้วย” หลังจากนั้นเธอวางหู ค้นเอกสารอีกครั้งก่อนจะหันมามองผม

“เธอเรียนอยู่ชั้นปีไหนกันนะ?”

ชั้นปีที่สอง ผมตอบเธอด้วยเสียงที่เหมือนพลทหารที่ขานตอบรับการตรวจกองพล ในครานี้อาจารย์หยิบแฟ้มสีชมพูขนาดใหญ่ เธอเปิดดูสำเนาเอกสารในนั้น ก่อนจะมองหน้าผมอย่างประหลาดใจ

“อยู่ชั้นปีสองแต่ทำไมถึงทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ มีหมายเรียกจากตำรวจมาหาเธอ ข้อหาทำร้ายร่างกาย ไหนฉันดูสิว่าพ้นเวลารายงานตัวแล้วหรือยัง เอกสารน่าจะมาถึงหลายวันแล้ว ถ้าพ้นกำหนดเธอก็โชคร้ายมากทีเดียว อาจต้องเป็นผู้ต้องหาโดยไม่ตั้งใจ”

“หมายถึงผู้ต้องหาที่มีคดีหรือครับ?”

“ฉันคิดว่าอย่างนั้น ฉันเองก็ไม่แน่ใจ อยู่นี่ไง”

“ดีนะ ที่ดูจะยังไม่พ้นกำหนด แต่ข่าวร้ายคือวันนี้เป็นวันสุดท้ายพอดี เธอรีบเอาหมายเรียกนี่ไปถ่ายสำเนาเอกสารและเอาตัวจริงมาคืนที่อาจารย์และไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจ ที่อยู่แถวบางลำภู รู้จักใช่ไหม รีบด่วนเลย”

อาจารย์ที่ปรึกษายื่นกระดาษแผ่นขาวที่มีรูปตราครุฑประทับอยู่ให้ผม ข้อความในเอกสารนั้นลงชื่อผู้แจ้งความเป็นชื่อที่ผมไม่รู้จัก แต่จากข้อความที่บรรยายต่อมา ผมคาดเดาได้ไม่ยากว่า เขาน่าจะเป็นคู่หมั้นของปิ่น คนที่ถูกผมชกในวันนั้นเอง

 

ผมยกมือไหว้ขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนที่จะถือเอกสารแผ่นนั้นมาที่เครื่องถ่ายเอกสารด้านล่างของคณะ ราวห้านาที สำเนาเอกสารฉบับนั้นก็เรียบร้อย ผมกลับขึ้นไปที่ห้องพักของอาจารย์ที่ปรึกษา เคาะห้องสองสามครั้ง แต่ในครานี้ไม่มีเสียงตอบ ผมรออยู่จนแน่ใจว่าอาจารย์ที่ปรึกษาคงกลับบ้านไปแล้ว ผมพับกระดาษแผ่นนั้นเอามันใส่ไว้ในกล่องเปล่าหน้าห้อง ในภาคการศึกษานี้ผมได้พบอาจารย์ที่ปรึกษามากกว่าสองครั้ง แต่นั่นเอง ไม่ได้มีความลึกซึ้งหรือใกล้ชิดใดๆ อย่างไรก็ตาม ผมคงเป็นใครบางคนที่อาจารย์จะนึกชื่อและชั้นปีอยู่เสมอ

ผมใช้เวลาอยู่ที่สถานีตำรวจแห่งนั้นหลายชั่วโมง ร้อยเวรที่รับผิดชอบคดีของผมยังไม่เข้ามาที่สถานี นายตำรวจที่รับผิดชอบแม้จะทำแทนได้แต่ก็ดูเขาจะวิ่งวุ่นกับคดีอื่น มีคดีเปรียบเทียบปรับแม่ค้า มีคดียาเสพติดที่ต้องสอบปากคำ

ผู้ต้องหาเป็นเด็กหนุ่มที่เจอข้อหาเสพกัญชา เขาดูมีอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปี แต่ท่าทีของเขาดูเป็นผู้ใหญ่ ผู้มีความมั่นใจที่ไม่กังวลใดๆ ต่อโลกของเขาประทับใจผมมาก

เขานั่งประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สอบปากคำเขาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ในบางเวลาเขาขอตัวไปสูบบุหรี่ แม้มือจะตกอยู่ภายใต้กุญแจมือ ผมก็เห็นเขาใช้มันจุดบุหรี่ขึ้นสูบอย่างเพลิดเพลิน เขาพ่นควันบุหรี่เป็นทางยาวก่อนที่จะเสร็จสิ้นการสอบสวนและเดินผ่านเข้าไปอยู่ในห้องขังแคบๆ

ห้องขังในโรงพักแห่งนี้แม้จะแลดูสะอาดสะอ้านกว่าห้องขังหลายที่ที่ผมเคยเห็น ในวัยเด็กผมเคยตามแม่ไปเยี่ยมญาติคนหนึ่งที่ถูกจับเพราะคดีไพ่ ห้องขังแห่งนั้นแลดูน่ากลัว ผนังซีดจาง เหล็กสนิมเกรอะกรัง แต่ที่นี่ ผนังเหมือนเพิ่งผ่านการทาสีใหม่ เหล็กกรงขังก็ได้รับการดูแลอย่างสะอาดเอี่ยม

แต่กระนั้นมันก็คือกรงขัง เป็นห้องขังอยู่ดี เป็นสถานที่ที่ไม่มีใครอยากไปเยือน

 

ร้อยเวรที่ดูแลคดีผมเดินทางมาถึงที่ทำงานของเขาในที่สุด เขาดูมีทีท่าเหนื่อยหน่ายกับชีวิตอย่างบอกไม่ถูก

หลังนั่งลงที่โต๊ะทำงาน เขาตะโกนสั่งโอเลี้ยง ข้าว และหลายอย่างให้กับตนเอง ผมเพิ่งพบว่าบนสถานีตำรวจมีนักเดินของหรือผู้ที่คอยวิ่งซื้อสิ่งของอยู่อีกหนึ่งตำแหน่ง

ชายวัยกลางคนในเสื้อยืดคอกลมสีขาวและกางเกงขาสั้นเสมอเข่าสีน้ำเงินคือผู้ทำงานคนนั้น เขาวิ่งซื้ออาหารให้กับตำรวจ ซื้อบุหรี่ให้กับผู้ต้องขัง ไม่นับที่คอยทำหน้าที่เลื่อนรถหรือเอารถไปเติมน้ำมันให้กับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่

ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ เฝ้าดูการละเล่นที่ว่านี้อย่างเพลิดเพลินจนร้อยเวรเอ่ยขึ้นกับผม ผมจึงรู้สึกตัว

“มาตามหมายเรียกใช่ไหม ไปทำอะไรนี่ มาจนวันสุดท้ายพอดี” น้ำเสียงของเขาแสดงอำนาจ มือของเขาพลิกกระดาษที่ผมวางไว้บนโต๊ะไปมาอย่างไม่จริงจัง

“ผมพักอยู่อีกที่ และนี่เขาส่งไปที่มหาวิทยาลัย” ผมตอบ เสียงของผมแหบแห้ง

“ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรือเราน่ะ เขาส่งไปที่บ้าน แต่ที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่เหมือนกัน เอาๆ เซ็นรับทราบข้อกล่าวหาเสีย แล้วจะขึ้นศาลอะไรกัน เขาจะติดต่อไปอีกที ชกต่อยแค่นี้ก็ต้องเป็นคดีความ คนเราเดี๋ยวนี้มันว่างกันเสียจริง”

ประโยคสุดท้ายที่ดูไม่จริงจังของเขาทำเอาผมเยือกเย็นไปทั้งตัว ทำไมที่บ้านผมจึงไม่มีใครอยู่ ความห่วงใยพ่อและแม่เกิดขึ้นโดยพลัน ผนวกกับน้ำเสียงดุดันและท่าทีที่มีอำนาจของร้อยเวรยิ่งทำให้ผมอยากพ้นไปจากที่นี่เสียโดยเร็ว

ร้อยเวรคนนั้นน่าจะมีอายุสามสิบปีต้น ห่างจากผมไม่มากนัก แต่เขากลับแลดูมีอำนาจ มีความมั่นคง แตกต่างจากผมที่ไม่มีอะไรเลย บุคคลแบบนี้สินะที่เหมาะจะเป็นคนรักของปิ่น

ปิ่น จู่ๆ ผมก็คิดถึงปิ่นขึ้นมาจับใจ ผมลงมือชื่อด้วยมือที่สั่นเทา หลังจากนั้นผมยื่นบัตรประจำตัวประชาชนให้ตำรวจอีกคน เขาถ่ายเอกสาร เก็บเงินค่าถ่ายเอกสารจากผม และให้ผมลงชื่อกำกับ ทำไมเราต้องจ่ายเงินในสิ่งที่ควรเป็นค่าใช้จ่ายของทางราชการ ผมมีคำถามไร้สาระในหัวเต็มไปหมด ร่างกายและความคิดของผมอ่อนแรงลงอย่างไร้สาเหตุและรวดเร็ว

ผมยกมือไหว้ร้อยเวรคนนั้นเมื่อเขากล่าวกับผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ร้อยเวรไม่ได้รับไหว้ผม เขาปัดมือทำนองว่าไปเสียที โอเลี้ยงของเขาถูกนำมาในเวลานั้น เขาดูดมันอย่างหิวกระหาย และนั่นทำให้ผมยิ่งตระหนักว่าผมไม่มีความสำคัญอะไรเลยในที่แห่งนี้

ผมเดินออกจากสถานีตำรวจ เคว้งคว้างไม่รู้จะไปที่ใดดี ผมเดินไร้จุดหมายผ่านเข้าไปในถนนข้าวสาร ผมไม่เคยผ่านมาที่ถนนสายนี้เลย มันแลดูเหมือนไม่ได้อยู่ในประเทศไทย มันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมาก

ขณะนั้นเป็นเวลาเย็น ร้านรวงเพิ่งตั้ง รถเข็นขายผัดไทย ของที่ระลึกต่างๆ เริ่มเคลื่อนตัวมาจอดในที่ค้าขายของเขา •