ทำงานจนหมดไฟ ก็ใช้ AI ช่วยเติม/Cool Tech จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech

จิตต์สุภา ฉิน

@Sue_Ching

Facebook.com/JitsupaChin

 

ทำงานจนหมดไฟ

ก็ใช้ AI ช่วยเติม

 

การทำงานจากที่บ้านหรือเวิร์กฟอรมโฮมอาจจะเป็นรูปแบบการทำงานที่เหมาะกับหลายๆ คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกลุ่มที่ชอบอยู่บ้าน ชอบความเงียบสงบ อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมสบายๆ ที่คุ้นเคย

แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูดซับพลังจากการได้พบปะพูดคุยกับผู้คนนั้นการต้องทำตามนโยบายเวิร์กฟรอมโฮมของบริษัทก็ทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกเหี่ยวเฉาลงไปเรื่อยๆ

โควิดระบาดระลอกล่าสุดฉันได้เห็นโพสต์ของเพื่อนๆ ที่บ่นกระปอดกระแปดว่าไม่อยากทำงานจากที่บ้าน พวกเขารู้สึกว่าการทำงานอยู่ที่บ้านทำให้ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว แม้จะอยู่บ้านแต่ก็ต้องทำงานยาวไปจนเลยเวลาเลิกงานตามปกติด้วยซ้ำ

บางคนบ่นว่าความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยทุกเช้าก็หายไป อย่างการได้แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งแสนอร่อยจากร้านรถเข็นร้านโปรดที่อยู่ข้างๆ ออฟฟิศ แล้วบรรจงเทน้ำซอสหมูปิ้งแสนอร่อยลงบนข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ

เมื่อนานเข้าคนกลุ่มนี้ก็เกิดอาการ burnout หรือเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน ซึ่งเราก็จะเห็นได้เยอะขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้นิยามภาวะหมดไฟในการทำงานเอาไว้ว่าเป็นอาการที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังจากการทำงาน โดยอาการประกอบไปด้วยความรู้สึกหมดพลัง เหนื่อย มองงานตัวเองในแง่ลบ ประสิทธิภาพงานลด แรงจูงใจหด ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นจากระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานเกินไป ปริมาณงานที่มากเกินไป ไปจนถึงการไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลือทางด้านอารมณ์ที่เหมาะสมด้วย

บางองค์กรมองว่าการภาวะหมดไฟในการทำงานเป็นความผิดของตัวพนักงานคนนั้นๆ ทำนองว่าก็พาตัวเองมาถึงจุดที่หมดไฟเองก็หาวิธีจัดการเองก็แล้วกัน

ในขณะที่บางองค์กรแม้จะยอมรับว่านี่เป็นสิ่งที่ฝ่ายบริหารจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็จนใจ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะลำพังการจะระบุว่าพนักงานคนไหนหมดไฟบ้างจากจำนวนพนักงานเป็นหลักหลายร้อยหรือหลายพันก็เป็นภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อมนุษย์เจอภารกิจอะไรก็ตามที่ยากหรือเยอะเกินความสามารถก็จะเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะนำเอาปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย ปัญหาเรื่องพนักงานหมดไฟนี้ก็เช่นเดียวกันค่ะ

ฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือเอชอาร์ของหลายๆ บริษัทเริ่มใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาทำงานหลายๆ อย่างแทน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ อยู่บ่อยๆ หรือต้องอยู่กับเอกสารเยอะๆ

อย่างการอ่านและคัดกรองใบสมัคร คนที่กำลังมองหางานในตอนนี้ก็อาจจะเคยได้ยินมาแล้วว่าสมัยนี้ฝ่ายบุคคลบริษัทใหญ่ๆ ไม่เสียเวลามาไล่อ่านใบสมัครงานทีละใบอีกต่อไปเพราะมีซอฟต์แวร์ที่สามารถช่วยคัดกรองใบสมัครเบื้องต้นให้ได้

กว่ามนุษย์เป็นๆ จะได้มาอ่านใบสมัครงานของเราก็ต้องผ่านการกรองจากซอฟต์แวร์มาก่อนว่าตรงกับความต้องการที่บริษัทกำลังมองหาหรือไม่

ใครไม่รู้เทคนิควิธีการเขียนใบสมัครยุคใหม่ก็อาจจะต้องมาเกาหัวแกรกๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมร่อนใบสมัครไปที่ไหนก็ไม่มีใครโทร.มาเรียกไปสัมภาษณ์สักที

ภาวะหมดไฟในการทำงานก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เอไออาจจะเข้ามาช่วยแก้ไขได้ เริ่มจากการใช้เอไอในการช่วยสแกนหาว่าพนักงานคนไหนเข้าข่ายหมดไฟในการทำงานบ้าง เอไอจะวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลจากการทำงานของพนักงานบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น ดูจากข้อความหรือวิดีโอคอลในการทำงานและมองหาว่าพนักงานคนไหนใช้คำพูดที่อาจจะสื่อถึงภาวะหมดไฟในการทำงานบ้าง

ยกตัวอย่าง หากพนักงานแสดงอาการขุ่นเคืองในระหว่างการคุยงานก็อาจจะเป็นไปได้ว่าพนักงานคนนั้นอยู่ในภาวะหมดไฟ หัวหน้างานจะได้รับคำแจ้งเตือนว่าใครมีอาการเครียดบ่อยๆ เพื่อจะได้เข้าไปพูดคุยและช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

 

ไม่ใช่แค่พนักงานบริษัททั่วไปแต่อาชีพไหนๆ ก็หมดไฟกันได้ อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้เอไอมาช่วยรับมือกับภาวะหมดไฟก็คือแวดวงสาธารณสุขซึ่งนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไวรัสระบาดทั่วโลกขึ้นมาก็ทำให้บุคลากรทางการแพทย์หมดไฟกันไปนับไม่ถ้วนแล้ว

โควิดทำให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักขึ้นเป็นอย่างมาก ที่พังพาบไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่จิตใจก็บอบช้ำไปไม่น้อย การต้องเห็นผู้ป่วยโควิดจากโลกไปอย่างเงียบเหงาเพราะไม่อาจพบเจอครอบครัวในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตทำให้หัวใจของแพทย์และพยาบาลแตกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมอหลายๆ คนตัดสินใจเกษียณก่อนเวลาเพราะแบกรับความหดหู่แบบนี้ต่อไปไม่ไหว ส่งผลให้เกิดปัญหาหมอขาดแคลนตามมาอีก

การจะทำให้หมอและพยาบาลกลับมามีความสุข มีสุขภาพจิตที่แข็งแรงอีกครั้งไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ภายในเวลารวดเร็ว

แต่ปัญญาประดิษฐ์ก็สามารถช่วยผ่อนหนักเป็นเบาไปก่อนได้ในระยะนี้

 

เว็บไซต์ Fast Company บอกว่าการช่วยป้องกันไฟในตัวหมอไม่ให้ดับมอดนั้นเริ่มได้ตั้งแต่ก่อนที่หมอจะเดินทางมาถึงโรงพยาบาลเลย ปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นแชตบอตจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วยและเขียนโน้ตเตรียมเอาไว้ให้หมอซึ่งก็จะเป็นการลดภาระด้านเอกสาร และลดระยะเวลาในการวินิจฉัยเบื้องต้น นอกจากนี้ เอไอยังสามารถนำข้อมูลอาการที่ผู้ป่วยแจ้งมาเขียนสรุปคำแนะนำให้หมอได้ด้วย

เอไอสามารถช่วยระบุตัวได้ว่าผู้ป่วยคนไหนเป็นผู้ป่วยที่ต้องการการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเลยและให้การรักษาช้าเกินไป ช่วยตรวจหาสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง เลือดออกในสมอง หรืออาการอื่นๆ อย่างกระดูกหักและภาวะติดเชื้อโดยวิเคราะห์จากผลซีทีสแกนหรือเอ็กซเรย์ของผู้ป่วย ช่วยถอดคำพูดในระหว่างที่หมอตรวจคนไข้ทำให้หมอไม่ต้องคอยเสียเวลาจด

และไม่ใช่แค่ถอดคำเฉยๆ นะคะ แต่ยังช่วยดึงเอาข้อมูลสำคัญๆ จากบทสนทนาแล้วเอามาจัดระเบียบใส่หมวดหมู่ที่ถูกต้องให้ได้โดยอัตโนมัติ หมอตรวจเสร็จ ข้อมูลทุกอย่างก็ถูกบันทึกและจัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว หมอไม่ต้องมาทำย้อนหลังเองเลย

และเอไอยังสามารถช่วยจัดการยื่นเอกสารด้านประกันภัยซึ่งเป็นกระบวนการที่มนุษย์เบื่อหน่ายอย่างแสนสาหัสแทนให้ได้ด้วย

งานซ้ำซากอะไรก็ตามที่เอไอสามารถรับมาทำแทนได้ก็แปลว่ามนุษย์ที่เคยผูกตัวเองไว้กับงานนั้นๆ วันแล้ววันเล่าจนไฟในตัวดับมอดก็จะมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นมากขึ้น อาจจะเป็นงานแบบอื่นที่สนุกกว่า ท้าทายกว่า หรือลับสมองกว่า ก็จะช่วยทำให้กลับมารู้สึกตื่นเต้นกับการทำงานได้อีกครั้ง

 

ถึงจะดูเป็นทางออกที่เลิศล้ำแต่ก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะลงตัวสมบูรณ์แบบ เพราะการใช้เอไอมาคอยตรวจหาภาวะหมดไฟ อย่างการคอยอ่านข้อความหรือดูวิดีโอคอลของพนักงานก็แปลว่าอาจจะเกิดการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของพนักงานได้ ประเด็นเรื่องจรรยาบรรณ ศีลธรรม หรือความเป็นไปได้ที่เอไอจะทำงานผิดพลาดก็จะยังต้องได้รับการใส่ใจอย่างใกล้ชิด และต้องมีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาขึ้นเพราะข้อมูลที่ใช้ในการฝึกเอไอก็อาจจะถูกแฮ็กได้ทุกเมื่อ

เบิร์นเอาต์เป็นวิธีที่ร่างกายใช้เพื่อบอกเราว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ หากไม่ได้รับการแก้ไขก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นได้ เราอยู่ในยุคที่มีเครื่องมือทางเทคโนโลยีหลายอย่างที่มีศักยภาพในการช่วยแก้ไขหรือผ่อนหนักเป็นเบาได้

รอให้เราเลือกหยิบมันไปลองใช้เท่านั้น