แสนดี : ‘4 ปีที่ ม.วอชิงตัน เปลี่ยนชีวิตผมเลยครับ’/กาแฟดำ สุทธิชัย หยุ่น

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

 

แสนดี : ‘4 ปีที่ ม.วอชิงตัน

เปลี่ยนชีวิตผมเลยครับ’

 

แสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ “แสนดี” ลูกชายคนเดียวของผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เล่าเรื่องราวชีวิตและประสบการณ์ตั้งแต่เด็กถึงวันนี้ได้อย่างสนุกสนาน…และลุ่มลึก

เพราะแสนดีเป็นคนช่างสังเกต และมีความฝัน กับมีความเป็นตัวของตัวเองสูง

เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันที่เมืองซีแอตเติล (ในรัฐวอชิงตัน) เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้นี่เอง

ระหว่างรอสมัครเรียนปริญญาโทต่อ แสนดีจะกลับมาเมืองไทยในช่วงประมาณหนึ่งปีที่รอไปเรียนต่อนั้น เขามีโครงการเขียนนิยายที่เกี่ยวโยงกับเมืองไทยด้วย

 

ในการสนทนาผ่าน Suthichai Live เมื่อเร็วๆ นี้ผมถามแสนดีว่ามีแผนการชีวิตอย่างไรบ้าง

แสนดีบอกว่า เรียนมัธยมที่ International School of Bangkok ในกรุงเทพฯ ก่อนไปต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันที่ซีแอตเติล

“ตอนแรกก็คิดจะไปเรียนที่อังกฤษ แต่พอพิจารณาปัจจัยต่างๆ ก็ตัดสินใจไปอเมริกาเพราะหลายๆ อย่างมาสอดคล้องต้องกันพอดี…รวมถึงมหาวิทยาลัยที่เลือกและวิชาที่ชอบด้วย”

ผมถามว่า คุณพ่อกับคุณแม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจที่เลือกเรียนอะไรอย่างไรหรือไม่

“ผมคิดว่าคุณพ่อมีส่วนสำคัญ ตอนแรกผมคิดจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย คุณพ่อบอกว่ามันเป็นโอกาสที่ผมจะได้ประสบการณ์ด้านการศึกษาที่ดีในอเมริกา ท่านบอกว่าผมไม่ควรจะพลาดโอกาสเมื่อโอกาสมาถึง ผมถือว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต ลงท้ายก็ได้มาเรียนที่อเมริกา…”

ทำไมเลือกมหาวิทยาลัยวอชิงตัน?

“ซีแอตเติลเป็นเมืองน่าอยู่ และพอไปทำแคมปัสทัวร์ ผมก็ชอบเลย จะเรียกว่ารักแรกพบเลยก็ว่าได้ เหมาะกับผมมาก เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชีวิตชีวา มีวัฒนธรรมหลากหลาย ผมไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย ว่างั้นเถอะ”

พอตัดสินใจจะเรียนที่นั่น ก็ต้องถามต่อว่าเรียนทางด้านไหน จะเป็นวิศวกรเหมือนพ่อไหม

แสนดีสั่นหัว

“บอกตรงๆ ผมไม่เก่งคณิตศาสตร์เลย…แต่เรื่องการเขียนนั้นเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมชาติของผมเลย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์…”

แสนดีบอกว่าได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ตั้งแต่เด็กๆ และมีความหลงใหลกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์

เรียกได้ว่าสำหรับแสนดีแล้ว เรื่องประวัติศาสตร์ และการเขียนเป็นความสนใจหลักตั้งแต่ต้น

ผมถามว่าไม่มีวิชาเลือกอื่นใดเลยหรือ…เช่น วิชาบริหารธุรกิจ

แสนดีบอก “ใช่ครับ ผมเลือกวิชาบริหารสำหรับผู้ประกอบการ หรือ Entrepreneurship ด้วย…”

คุณพ่อคงจะมีส่วนทำให้แสนดีเลือกเรียนวิชาเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจด้วย

“ผมคิดว่าคุณพ่อมีส่วนผลักดันให้ผมเรียนวิชาที่เกี่ยวกับธุรกิจด้วย แม้ความสนใจหลักของผมจะเป็นประวัติศาสตร์และงานเขียนหนังสือก็ตาม…”

เพราะคุณพ่อแซวเล่นว่า “ถ้าลูกจะทำเงินได้บ้างก็ต้องเรียนธุรกิจนะ”

ว่าแล้วแสนดีก็หัวเราะอารมณ์ดี เหมือนจะบอกผมว่าพ่อคงเป็นห่วงว่าเรียนจบแล้วอยากเป็นครูสอนประวัติศาสตร์หรือนักเขียนตามความชอบของตัวเองก็คงต้องเรียนอะไรเผื่อจะต้องทำมาหากินบ้าง

 

ผมอยากรู้ว่าแสนดีเน้นเรียนประวัติศาสตร์ด้านไหนเพราะจะทำให้เห็นว่าเขาจะทุ่มเทไปในทิศทางใด

“ประวัติศาสตร์โลกเป็นหลักครับ…ประวัติศาสตร์จีน, ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น, ประวัติศาสตร์เกาหลี, ประวัติศาสตร์ยุโรป และประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้…”

ผมอยากรู้อีกว่าวิทยานิพนธ์สำหรับปริญญาตรีที่แสนดีค้นคว้า, วิจัยและเขียนนั้นเป็นหัวข้ออะไร

ฟังแล้วก็ทึ่งเพราะแปลก

เพราะแสนดีบอกว่าหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเขาคือ “ประวัติศาสตร์กาแฟ (History of Coffee) ครับ”

โดยเฉพาะร้านกาแฟเกิดขึ้นมาในโลกได้อย่างไร

“ผมค้นข้อมูลเจอว่า Coffee House หรือร้านกาแฟนั้นมีต้นกำเหนิดจากจักรวรรดิออตโตมาน, ตุรกี…”

ผมบอกแสนดีว่าเมืองซีแอตเติลก็เป็นสำนักงานใหญ่ของ Starbucks ด้วยมิใช่หรือ

“ใช่ครับ ถ้ามาซีแอตเติลต้องไปเยี่ยมร้านแรกของ Starbucks ที่นี่ด้วยนะครับ …”

ผมรับปากว่าจะทำตามคำแนะนำนั้นแน่นอน

ผมอยากรู้ว่าทำไมแสนดีจึงเลือกค้นคว้าประวัติศาสตร์ของร้านกาแฟสำหรับวิทยานิพนธ์ปริญญาตรี

“ผมเป็นคนติดกาแฟมากครับ ผมต้องได้กาเฟอีนเพื่อความกระปรี้กระเปร่าในชีวิตประจำวันของผม…พอผมจะทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาของผมแนะนำว่าหัวข้อที่ผมจะทำควรจะต้องเป็นเรื่องที่เรารัก, หลงใหล และมี passion ที่สุด…”

สำหรับแสนดี passion กับความหลงใหลนั้นก็ต้องเป็นกาแฟ

และค้นคว้าเรื่องกาแฟไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่า “ร้านกาแฟ” ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของมนุษย์วันนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร

 

ผมอยากรู้ต่อว่า ในการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกาแฟในสังคมโลกนั้น แสนดีค้นพบทฤษฎีใหม่อะไรบ้าง

แสนดีตอบทันทีว่า

“ผมพบว่าร้านกาแฟก็คือเครือข่ายสังคมแรกๆ ของโลก มันคือ social network แรกๆ ของโลกใบนี้เลยทีเดียว มันเกิดขึ้นยาวนานก่อนที่จะเกิด social media ของทุกวันนี้…”

ฟังดูแล้วน่าสนใจมาก ผมคิดว่าเป็นจริงที่ว่าร้านกาแฟคือที่พบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนของคนในยุคสมัครโบราณที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

วันนี้พอเกิด social media ก็คือการต่อยอดจาก “ร้านกาแฟ” นั่นแหละ

เพียงแต่มันมาปรากฏในโลกอินเตอร์เน็ตเท่านั้น

แสนดีสรุปว่า การเกิดของร้านกาแฟในประวัติศาสตร์นั้นทำให้เห็นภาพของ “ความสมัครสมานสามัคคี” (unity) ของชุมชนในยุคนั้น

ผมถามว่า กว่าจะค้นคว้าหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ต้องไปแวะเวียนร้านกาแฟมากมายซินะ

“เปล่าครับ ช่วงนั้นเกิดโควิดพอดี จึงไม่สามารถไปร้านกาแฟต่างๆ ได้ แต่ผมไปหาข้อมูลหลายๆ แห่งครับ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อวิเคราะห์ถ้วยกาแฟของยุคสมัยต่างๆ และรูปแบบของการออกแบบของเครื่องเคลือบดินเผา (ceramics) ยุคจักรวรรดิออตโตมาน…”

ผมเป็นคนดื่มชา จึงอยากรู้อีกว่า จากการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้ แสนดีบอกผมได้ไหมว่ากาแฟกับชา อะไรเกิดขึ้นก่อนกันในโลกนี้

“ผมไม่ได้ค้นคว้าเรื่องชาครับ แต่ก็พบข้อมูลว่าเมล็ดกาแฟนั้นแรกเริ่มเดิมทีมาจากเอธิโอเปียของทวีปแอฟริกา… จากนั้นก็ไปปรากฏที่โลกอาหรับคือเยเมนและโอมาน และมาถึงเอเชียผ่านเครือข่ายการค้าของยุคโบราณ…”

แสนดีดื่มกาแฟวันละกี่แก้ว?

“สองครับ…มันช่วยให้กระปรี้กระเปร่าดีครับ แต่ผมว่าคุณพ่อผมดื่มกาแฟมากกว่าผมอีกนะครับ เข้าใจว่าท่านดื่มวันละ 3-4 แก้วนะครับ”

 

ชีวิตของการเป็นนักศึกษา 4 ปีที่นั่นเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจแค่ไหน

“ผมคิดว่าใช้คำเดียวที่จะอธิบายว่าชีวิต 4 ปีที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้คือ Life-changing…”

คำนี้มีความหมายลึกซึ้ง

เพราะแปลว่าประสบการณ์ 4 ปีที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันนั้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของแสนดีอย่างมาก

“ผมไม่เคยคิดว่าจะได้โอกาสมาเรียนหนังสือที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้เรียนจบด้วยซ้ำ เพราะตอนเกิดโรคระบาดโควิด ผมคิดว่าสงสัยผมจะเรียนไม่จบเสียแล้ว…เกือบคิดว่าโลกกำลังจะล่มสลายแล้วด้วยซ้ำ…”

แต่เมื่อผ่านโควิดมาได้ก็เหมือนปาฏิหาริย์

อย่างไรคือ Life-changing สำหรับแสนดี?

สัปดาห์หน้า จิบกาแฟกับแสนดีต่อครับ