ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 กรกฎาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
แสนดี : ‘4 ปีที่ ม.วอชิงตัน
เปลี่ยนชีวิตผมเลยครับ’
แสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ “แสนดี” ลูกชายคนเดียวของผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เล่าเรื่องราวชีวิตและประสบการณ์ตั้งแต่เด็กถึงวันนี้ได้อย่างสนุกสนาน…และลุ่มลึก
เพราะแสนดีเป็นคนช่างสังเกต และมีความฝัน กับมีความเป็นตัวของตัวเองสูง
เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันที่เมืองซีแอตเติล (ในรัฐวอชิงตัน) เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้นี่เอง
ระหว่างรอสมัครเรียนปริญญาโทต่อ แสนดีจะกลับมาเมืองไทยในช่วงประมาณหนึ่งปีที่รอไปเรียนต่อนั้น เขามีโครงการเขียนนิยายที่เกี่ยวโยงกับเมืองไทยด้วย
ในการสนทนาผ่าน Suthichai Live เมื่อเร็วๆ นี้ผมถามแสนดีว่ามีแผนการชีวิตอย่างไรบ้าง
แสนดีบอกว่า เรียนมัธยมที่ International School of Bangkok ในกรุงเทพฯ ก่อนไปต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันที่ซีแอตเติล
“ตอนแรกก็คิดจะไปเรียนที่อังกฤษ แต่พอพิจารณาปัจจัยต่างๆ ก็ตัดสินใจไปอเมริกาเพราะหลายๆ อย่างมาสอดคล้องต้องกันพอดี…รวมถึงมหาวิทยาลัยที่เลือกและวิชาที่ชอบด้วย”
ผมถามว่า คุณพ่อกับคุณแม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจที่เลือกเรียนอะไรอย่างไรหรือไม่
“ผมคิดว่าคุณพ่อมีส่วนสำคัญ ตอนแรกผมคิดจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย คุณพ่อบอกว่ามันเป็นโอกาสที่ผมจะได้ประสบการณ์ด้านการศึกษาที่ดีในอเมริกา ท่านบอกว่าผมไม่ควรจะพลาดโอกาสเมื่อโอกาสมาถึง ผมถือว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต ลงท้ายก็ได้มาเรียนที่อเมริกา…”
ทำไมเลือกมหาวิทยาลัยวอชิงตัน?
“ซีแอตเติลเป็นเมืองน่าอยู่ และพอไปทำแคมปัสทัวร์ ผมก็ชอบเลย จะเรียกว่ารักแรกพบเลยก็ว่าได้ เหมาะกับผมมาก เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชีวิตชีวา มีวัฒนธรรมหลากหลาย ผมไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย ว่างั้นเถอะ”
พอตัดสินใจจะเรียนที่นั่น ก็ต้องถามต่อว่าเรียนทางด้านไหน จะเป็นวิศวกรเหมือนพ่อไหม
แสนดีสั่นหัว
“บอกตรงๆ ผมไม่เก่งคณิตศาสตร์เลย…แต่เรื่องการเขียนนั้นเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมชาติของผมเลย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์…”
แสนดีบอกว่าได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ตั้งแต่เด็กๆ และมีความหลงใหลกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์
เรียกได้ว่าสำหรับแสนดีแล้ว เรื่องประวัติศาสตร์ และการเขียนเป็นความสนใจหลักตั้งแต่ต้น
ผมถามว่าไม่มีวิชาเลือกอื่นใดเลยหรือ…เช่น วิชาบริหารธุรกิจ
แสนดีบอก “ใช่ครับ ผมเลือกวิชาบริหารสำหรับผู้ประกอบการ หรือ Entrepreneurship ด้วย…”
คุณพ่อคงจะมีส่วนทำให้แสนดีเลือกเรียนวิชาเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจด้วย
“ผมคิดว่าคุณพ่อมีส่วนผลักดันให้ผมเรียนวิชาที่เกี่ยวกับธุรกิจด้วย แม้ความสนใจหลักของผมจะเป็นประวัติศาสตร์และงานเขียนหนังสือก็ตาม…”
เพราะคุณพ่อแซวเล่นว่า “ถ้าลูกจะทำเงินได้บ้างก็ต้องเรียนธุรกิจนะ”
ว่าแล้วแสนดีก็หัวเราะอารมณ์ดี เหมือนจะบอกผมว่าพ่อคงเป็นห่วงว่าเรียนจบแล้วอยากเป็นครูสอนประวัติศาสตร์หรือนักเขียนตามความชอบของตัวเองก็คงต้องเรียนอะไรเผื่อจะต้องทำมาหากินบ้าง
ผมอยากรู้ว่าแสนดีเน้นเรียนประวัติศาสตร์ด้านไหนเพราะจะทำให้เห็นว่าเขาจะทุ่มเทไปในทิศทางใด
“ประวัติศาสตร์โลกเป็นหลักครับ…ประวัติศาสตร์จีน, ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น, ประวัติศาสตร์เกาหลี, ประวัติศาสตร์ยุโรป และประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้…”
ผมอยากรู้อีกว่าวิทยานิพนธ์สำหรับปริญญาตรีที่แสนดีค้นคว้า, วิจัยและเขียนนั้นเป็นหัวข้ออะไร
ฟังแล้วก็ทึ่งเพราะแปลก
เพราะแสนดีบอกว่าหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเขาคือ “ประวัติศาสตร์กาแฟ (History of Coffee) ครับ”
โดยเฉพาะร้านกาแฟเกิดขึ้นมาในโลกได้อย่างไร
“ผมค้นข้อมูลเจอว่า Coffee House หรือร้านกาแฟนั้นมีต้นกำเหนิดจากจักรวรรดิออตโตมาน, ตุรกี…”
ผมบอกแสนดีว่าเมืองซีแอตเติลก็เป็นสำนักงานใหญ่ของ Starbucks ด้วยมิใช่หรือ
“ใช่ครับ ถ้ามาซีแอตเติลต้องไปเยี่ยมร้านแรกของ Starbucks ที่นี่ด้วยนะครับ …”
ผมรับปากว่าจะทำตามคำแนะนำนั้นแน่นอน
ผมอยากรู้ว่าทำไมแสนดีจึงเลือกค้นคว้าประวัติศาสตร์ของร้านกาแฟสำหรับวิทยานิพนธ์ปริญญาตรี
“ผมเป็นคนติดกาแฟมากครับ ผมต้องได้กาเฟอีนเพื่อความกระปรี้กระเปร่าในชีวิตประจำวันของผม…พอผมจะทำวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาของผมแนะนำว่าหัวข้อที่ผมจะทำควรจะต้องเป็นเรื่องที่เรารัก, หลงใหล และมี passion ที่สุด…”
สำหรับแสนดี passion กับความหลงใหลนั้นก็ต้องเป็นกาแฟ
และค้นคว้าเรื่องกาแฟไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่า “ร้านกาแฟ” ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของมนุษย์วันนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
ผมอยากรู้ต่อว่า ในการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกาแฟในสังคมโลกนั้น แสนดีค้นพบทฤษฎีใหม่อะไรบ้าง
แสนดีตอบทันทีว่า
“ผมพบว่าร้านกาแฟก็คือเครือข่ายสังคมแรกๆ ของโลก มันคือ social network แรกๆ ของโลกใบนี้เลยทีเดียว มันเกิดขึ้นยาวนานก่อนที่จะเกิด social media ของทุกวันนี้…”
ฟังดูแล้วน่าสนใจมาก ผมคิดว่าเป็นจริงที่ว่าร้านกาแฟคือที่พบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนของคนในยุคสมัครโบราณที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
วันนี้พอเกิด social media ก็คือการต่อยอดจาก “ร้านกาแฟ” นั่นแหละ
เพียงแต่มันมาปรากฏในโลกอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
แสนดีสรุปว่า การเกิดของร้านกาแฟในประวัติศาสตร์นั้นทำให้เห็นภาพของ “ความสมัครสมานสามัคคี” (unity) ของชุมชนในยุคนั้น
ผมถามว่า กว่าจะค้นคว้าหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ต้องไปแวะเวียนร้านกาแฟมากมายซินะ
“เปล่าครับ ช่วงนั้นเกิดโควิดพอดี จึงไม่สามารถไปร้านกาแฟต่างๆ ได้ แต่ผมไปหาข้อมูลหลายๆ แห่งครับ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อวิเคราะห์ถ้วยกาแฟของยุคสมัยต่างๆ และรูปแบบของการออกแบบของเครื่องเคลือบดินเผา (ceramics) ยุคจักรวรรดิออตโตมาน…”
ผมเป็นคนดื่มชา จึงอยากรู้อีกว่า จากการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้ แสนดีบอกผมได้ไหมว่ากาแฟกับชา อะไรเกิดขึ้นก่อนกันในโลกนี้
“ผมไม่ได้ค้นคว้าเรื่องชาครับ แต่ก็พบข้อมูลว่าเมล็ดกาแฟนั้นแรกเริ่มเดิมทีมาจากเอธิโอเปียของทวีปแอฟริกา… จากนั้นก็ไปปรากฏที่โลกอาหรับคือเยเมนและโอมาน และมาถึงเอเชียผ่านเครือข่ายการค้าของยุคโบราณ…”
แสนดีดื่มกาแฟวันละกี่แก้ว?
“สองครับ…มันช่วยให้กระปรี้กระเปร่าดีครับ แต่ผมว่าคุณพ่อผมดื่มกาแฟมากกว่าผมอีกนะครับ เข้าใจว่าท่านดื่มวันละ 3-4 แก้วนะครับ”
ชีวิตของการเป็นนักศึกษา 4 ปีที่นั่นเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจแค่ไหน
“ผมคิดว่าใช้คำเดียวที่จะอธิบายว่าชีวิต 4 ปีที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้คือ Life-changing…”
คำนี้มีความหมายลึกซึ้ง
เพราะแปลว่าประสบการณ์ 4 ปีที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันนั้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของแสนดีอย่างมาก
“ผมไม่เคยคิดว่าจะได้โอกาสมาเรียนหนังสือที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้เรียนจบด้วยซ้ำ เพราะตอนเกิดโรคระบาดโควิด ผมคิดว่าสงสัยผมจะเรียนไม่จบเสียแล้ว…เกือบคิดว่าโลกกำลังจะล่มสลายแล้วด้วยซ้ำ…”
แต่เมื่อผ่านโควิดมาได้ก็เหมือนปาฏิหาริย์
อย่างไรคือ Life-changing สำหรับแสนดี?
สัปดาห์หน้า จิบกาแฟกับแสนดีต่อครับ