ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กรกฎาคม 2565 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
แต่ละ ‘เงาร่าง’
บุตรหลาน ‘ตระกูลใหญ่’
ล้วนหล่นสู่ กับดัก
สวนหลังบ้านเงียบวังเวง ไม่มีเงาร่าง และไม่ได้ยินเสียงใดๆ หลังยามสามเป็นเวลาที่บ๊วยฮวยเต๋า จอมโจรดอกเหมย จะปรากฏตัวได้ทุกขณะ
ยังมีผู้ใดยินดีมารีรออยู่ ณ ละแวกนี้
ลี้คิมฮวงเดินช้าๆ ฝ่าป่าเหมยเข้าไปยังแนเฮียงเซี่ยวต๊ก เป้าหมายย่อมมิใช่เพื่อจะไปยลโฉมที่สะคราญสุดหล้าฟ้าดิน เนื่องจากตระหนักรู้เป็นอย่างดี
ในเวลาเยี่ยงนี้นางต้องไม่รีรออยู่ที่นี่อย่างเด็ดขาด
ความต้องการแท้จริงของมันเพียงเพราะปรารถนาเยี่ยมเยือนไปยังสถานที่อาศัยตั้งแต่ยังเยาว์ของตัวเองมากกว่า
เป็นความตระหนักในยามว้าเหว่ เดียวดาย
เมื่อทั้งว้าเหว่ เมื่อทั้งเดียวดาย และจากพรากไปยาวนานร่วม 10 ปี มักจะรับรู้ว่าทุกสรรพสิ่งในอดีตกาลล้วนมีคุณค่าให้ถวิลหาและอาวรณ์
ในความเงียบวังเวงของป่าเหมย พลันมีเสียงหัวร่อเบาๆ แว่วขึ้นมา
ในความเป็นจริง แต่ละฉาก แต่ละตอนเมื่อลี้คิมฮวงหวนกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลลี้ในอดีต หรือคฤหาสน์ตระกูลเล้งในปัจจุบัน
ล้วนดำเนินไปในลักษณะคลี่คลายและขยายตัว
แม้จะได้ยินเสียงกล่าวขานถึงนามแม่นางลิ่มเซียนยี้ แม้จะได้ยินคำยกย่องให้เป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน
กระนั้น มันก็ยังไม่เคยได้ยลโฉม (ในความเข้าใจของมัน)
ขณะเดียวกัน กลวิธีทางการประพันธ์ของ “โกวเล้ง” คือนำพาเอาลี้คิมฮวงให้เดินไปในแต่ละสถานการณ์และทำให้ค่อยๆ แจ้งในคำตอบ อย่างเช่นในกรณีที่ภายในดงเหมยอันเงียบสงัดพลันบังเกิดเสียงหัวร่อเบาๆ ดังขึ้น
ส่งผลให้ “ร่าง” ของมันบังเกิด “การเปลี่ยนแปลง”
พริบตานั้นที่เคยเกียจคร้านกลายเป็นคึกคัก กระปรี้กระเปร่า เปี่ยมพลัง พุ่งโถมไปยังทิศทางอันเป็นต้นตอแห่งเสียงหัวร่อรวดเร็วดุจกระต่ายเปรียว
มันคล้ายได้ยินเสียงอุทานของสตรี เพียงแต่แผ่วเบายิ่ง
จากนั้นก็พบเห็นเงาร่างสีขาวสายหนึ่งหลบหนีไปทางด้านหลัง และปรากฏเงาร่างสีดำอีกสายหนึ่งพุ่งสวนเข้ามา
นั่นย่อมเป็น 2 เงาร่างที่ลึกล้ำ ดำมืดยิ่ง
เงาร่างดำอันพุ่งตรงเข้ามาเป็นเงาร่างสูงใหญ่ สภาวะรวดเร็วอย่างน่าตระหนก คนอยู่ห่าง 2-3 วา แต่พลังความยะเยียบเย็นเกรี้ยวกราดชนิดหนึ่งกลับคุกคามกระทบหว่างคิ้ว
เด่นชัดว่าคนผู้นี้ฝึกปรือพลังฝ่ามือนอกระบบอันลี้ลับชนิดหนึ่ง
ความกล้าแข็งของพลังฝ่ามือ จัดเป็นอันดับหนึ่งของบู๊ลิ้มได้ แต่มันก็มิได้ต้านปะทะพลังฝ่ามือที่กราดเข้ามาอย่างหักโหม แม้ลมฝ่ามืออันเกรี้ยวกราดปิดสกัดหนทางถอยของมันแทบหมดสิ้น
ร่างของมันพลันถอยปราดไปด้านหลัง การเปลี่ยนแปลงของท่าร่างยิ่งกว่ามัจฉาในวารี
เห็นเช่นนั้นคนในชุดดำตวาดเสียงเกรี้ยวกราด พลังฝ่ามือทะลักหนุนเนื่องครอบคลุมหนักหน่วงต่อเนื่อง ลี้ชิมฮัวพุ่งถอยดุจเกาทัณฑ์ ร่างแทบขนานราบไปกับพื้น มือคล้ายไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด
แต่มีดบินได้ซัดพุ่งออกไป ประกายมีดวูบขึ้นแวบหนึ่ง คล้ายดาวตกในห้วงนภายามราตรี
คนชุดดำคำรามกึกก้อง โผร่างขึ้นสู่ท้องฟ้า หมุนคว้างกลางอากาศไปรอบหนึ่งแล้วใช้ท่าร่าง “วิหคคืนพนา” (ปวยเจี้ยวเต้าลิ้ม) หลบไปทางดงเหมย
เท้าของลี้ชิ้มฮัวพอแตะกับพื้น ร่างก็ยืนหยัดตรงอย่างปลอดโปร่ง ไม่คิดไล่ตาม
ขณะที่คนชุดดำไม่ทันโถมร่างพ้นไปจากดงเหมยก็ล้มลง ลี้ชิ้มฮัวเดินช้าๆ ตรงไป เห็นที่พื้นหิมะเพิ่มคราบโลหิตเป็นเส้นสาย
2 มือของคนชุดดำกุมคอหอย โลหิตไหลซึมจากร่องนิ้ว
มีดน้อยอันแวววาวถูกถอนออก ทิ้งอยู่ข้างกาย ลี้ชิ้มฮัวก้มลงเก็บมีดขึ้นมา มองใบหน้าที่กระตุกบิดเบี้ยวด้วยความปวดเจ็บ ต้องทอดถอนใจด้วยความผิดหวัง
“ท่านเมื่อมิใช่โจรดอกเหมยไยต้องบีบบังคับให้ข้าพเจ้าต้องลงมือ”
ถามว่าแล้วเงาร่างอีกสายหนึ่งเป็นของผู้ใด สายลมกระโชกเข้ามาในป่าเหมย หิมะบนกิ่งใบร่วงพรั่งพรูลงมา
ทันใด เกล็ดหิมะคล้ายถูกพลังไร้สภาพขุมหนึ่งกระแทกกระจัดกระจาย
จากนั้น ประกายแวววาวพุ่งวาบเข้าใส่กลางหลังลี้คิมฮวงรวดเร็วดั่งสายฟ้า กระบี่นี้มิเพียงพุ่งมาด้วยความเร็วระดับยิ่งยวดเท่านั้น หากแต่พลังกระบี่ยังกราดเกรี้ยวดุดันสุดเปรียบประมาณ มาตรว่าแทงเบื้องหน้าก็คุกคามจนยากจะหลบหลีก
อย่าว่าแต่เป็นการลอบแทงมาทางด้านหลังอีกด้วย
ลี้คิมฮวงสวมเสื้อขนสัตว์หนายิ่งยังรับรู้ถึงพลังกระบี่ที่เสียดผิวกายจนปวดแปลบ ประกายจากปลายกระบี่กรีดเสื้อขนสัตว์จนทะลวงทะลุ หากมันถลันหลบไปทางซ้ายชายโครงขวาก็ยากจะหลบหนีคมกระบี่
หากหลบไปทางขวา ชายโครงซ้ายก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน
หากแม้นถลันหลบไปเบื้องหน้า กระดูกสันหลังย่อมต้องมีโพรงเพิ่มขึ้นอีกหลายโพรง เนื่องจากมิว่าจะหลบหลีกเยี่ยงไรต่างไม่อาจเร็วไปกว่าพลังกระบี่นี้ได้
ปรากฏเสียงฉึกดังขึ้นบ่งชี้ว่าคมกระบี่ได้ชำแรกเข้าไปแล้ว
ในอีกด้านก็บ่งชี้ด้วยว่าเป็นการแทงผิดเป้าคล้ายดังยิ่งตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิมจึงรีบบิดคมกระบี่กรีดกลับมาทางขวาง
แต่มีดสั้นในมือลี้คิมฮวงก็กรีดใส่ข้อมือของมันดุจสายฟ้า
มีดสั้นนี้ไว ไวจนฝ่ายตรงข้ามถึงกับไม่มีปัญญาพลิกแพลงกระบวนท่ากระบี่ได้อีก มันผู้นั้นในยามแตกตื่นตระหนกก็ทิ้งกระบี่หลุดจากมือ ตีลังกากลางอากาศถอยปราดออกไปด้วยความรวดเร็ว
มีดสั้นของลี้คิมฮวงได้มาถึงปลายนิ้วแล้ว ในโลกนี้ จะมีท่าร่างของผู้ใดสามารถเร็วกว่ามีดสั้นเซี่ยวลี้ปวยตอได้ มิคาด ขณะเวลานั้นเองพลันมีคนผู้หนึ่งร้องขึ้น “น้องเราหยุดมือ”
นั่นเป็นเสียงของเล้งโซ่วฮุ้น
ไม่ว่าเงาร่างของคนในชุดดำ ไม่ว่าเงาร่างของมือกระบี่ที่ถลาหลบไปอย่างรวดเร็ว ในเบื้องต้นลี้คิมฮวงไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด
เพียงแต่มันรับรู้ว่ามิใช่ “โจรดอกเหมย” มิใช่ “บ๊วยฮวยเต๋า”
ต่อเงาร่างในชุดดำเมื่อได้ยินเสียงพึมพำ “ในเมื่อท่านมิใช่บ๊วยฮวยเต๋า ไยต้องคุกคามให้เราลงมือด้วย”
คนผู้นั้นขบกรามแน่น ในลำคอมีเสียงดังครอก ไม่อาจกล่าวคำใดออกมาได้อีก
“ท่านแม้ไม่รู้จักเราแต่เรารู้จักท่าน ท่านคือศิษย์คนโตของอีเข่า เมื่อ 10 ปีก่อนเราก็เคยพบท่านมาแล้ว ขอเพียงเป็นคนที่เราเคยพบหน้าสักครั้งเราก็ไม่มีวันลืมได้เด็ดขาด
เราทราบ ท่านต้องมีความลับใดไม่ยินยอมให้ผู้อื่นล่วงรู้”
เงาร่างอีกสายหนึ่งแรกทีเดียวลี้คิมฮวงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อมันชักกระบี่จากเสื้อขนสัตว์ออกมา กรีดไปเบาๆ กระบี่ดังกระหึ่มปานมังกรคำรามทันที
“กระบี่ยอดเยี่ยม” พร้อมกับประคองกระบี่ส่งคืนให้ฝ่ายตรงข้าม
เป็นเล้งโซ่วฮุ้นนั้นหรอกที่มาไขให้รู้ความจริง ทำให้ลี้คิมฮวงต้องอุทานออกมา “ที่แท้ท่านผู้นี้คืออิ่วเซี่ยวจึงจู๊”
ศิษย์ทายาทเพียงคนเดียวของ “เหยี่ยวหิมะแห่งเทียนซัว” (เทียนซัวเซาะเอ็งจื้อ)
จึงไม่เพียงแต่ลี้คิมฮวงได้ปะทะเข้ากับเงาร่างของศิษย์อีเข่า เจ้าของหัตถ์อสูรเขียว หากแต่ยังได้ปะทะเข้ากับเงาร่างของอิ่วเซียวจึงจู๊ ศิษย์เหยี่ยวหิมะแห่งเทียนซัว
“เป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่อีกผู้หนึ่งจริงๆ”
ต้องยอมรับว่า คำอุทานอันเหมือนบทสรุปของลี้คิมฮวงมิได้เป็นคำอุทานจากความประหลาดใจเพียงอย่างเดียว
แต่ละสถานการณ์ล้วนก่อให้เกิด “นัยประหวัด”
“เมื่อค่ำวันก่อนเป็นบุตรฉิ้งเฮ้างี้ ค่ำวันนี้เป็นศิษย์อีเข่า ดูท่าทีเวลาว่างของลิ่มเซียนยี้โกวเนี้ยผู้นั้นกลับมีไม่มากเลยจริงๆ สายตาก็ไม่เลว ผู้ที่นัดหมายล้วนเป็นบุตรหลานศิษย์ทายาทของผู้มีชื่อกระเดื่อง”
หรือความทั้งหมดนี้ยังมีเลศนัยอันลึกลับซุกซ่อนอยู่