ไทม์ไลน์ทำศึก 5 วัน ลงมติสำเร็จโทษ/ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

ไทม์ไลน์ทำศึก 5 วัน ลงมติสำเร็จโทษ

 

“ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคคล” ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จาก “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้า ยื่นเสนอญัตติ ตามมาตรา 151 ต่อ “นายชวน หลีกภัย” ประธานสภา เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565

“พรรคเพื่อไทย” ในฐานะแกนนำ ตั้งชื่อศึกซักฟอกครั้งสุดท้ายไว้น่าเกรงขามว่า “ยุทธการเด็ดหัว สอยนั่งร้าน” จองทอดกฐิน 11 รัฐมนตรีขึ้นเขียงเชือด ประกอบด้วย

1. “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

2. “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

3. “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

4. “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี

5. “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

6. “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

7. “นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รัฐมนตรีว่าการกรทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

8. “นายจุติ ไกรฤกษ์” รัฐมนตรีว่าการทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

9. “นายสันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

10. “นายนิพนธ์ บุญญามณี” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

11. “นายสุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

ตามไทม์ไลน์ วันอภิปรายไม่ไว้วางใจ น่าจะลงตัวระหว่างวันที่ 18-22 กรกฎาคม กรอบเวลาทำศึก 5 วันเต็มรวมกับการลงมติเพื่อสำเร็จโทษ

แยกพรรคต้นสังกัด ผู้ถูกอภิปราย “พลังประชารัฐ” จำนวน 6 คน ประกอบด้วย “พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.ประวิตร-พล.อ.อนุพงษ์-นายชัยวุฒิ-นายสุชาติ-นายสันติ”

“ประชาธิปัตย์” 3 ราย “จุรินทร์-จุติ-นิพนธ์” ที่เหลือ “ภูมิใจไทย” 2 คน “นายอนุทิน-ศักดิ์สยาม”

“ญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล” ตามกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ฝ่ายค้านเปิดเวทีเชือดมาแล้วเป็นคำรบที่ 4 นับจากจุดเริ่มต้น จากวันเลือกตั้งใหญ่เดือนมีนาคม 2562

“ครั้งแรก” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีรัฐมนตรีถูกเปิดบริสุทธิ์เพียง 6 ราย ประกอบด้วย “พี่น้อง 3 ป.” เหมาเข่งทั้ง “พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.ประวิตร-พล.อ.อนุพงษ์”

ตามด้วย “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี “นายดอน ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

“ครั้งที่สอง” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผู้โดนถลุงสีข้าง 10 คน เจ้าเก่ายังประกอบด้วย “พี่น้อง 3 ป.-ตู่-ป้อม-ป๊อก” ตามด้วย “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์-อนุทิน ชาญวีรกูล-ศักดิ์สยาม ชิดชอบ-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า-สุชาติ ชมกลิ่น-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” อดีต รมว.ศึกษาธิการ – “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย

“ครั้งที่สาม” เมื่อเดือนกันยายน 2564 “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นหนึ่งเดียวของเครือข่าย 3 ป.ที่โดนยำ ตามด้วย “นายอนุทิน-นายศักดิ์สยาม-นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน” รมว.เกษตรฯ – “นายชัยวุฒิ” ถูกรับน้องใหม่ครั้งแรกหลังเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน

และ “ครั้งที่สี่” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 แต่เป็นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักฟอกรัฐบาล โดยไม่ลงมติ ตามกลไกรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ที่กำหนดให้สมาชิกสามารถเข้าชื่อเสนอญัตติเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติ

ครั้งนี้จึงเป็นสงครามยกสุดท้ายของศึกซักฟอก ไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว รัฐบาล “บิ๊กตู่” จะเบียดเข้าป้ายครบเทอม 4 ปี ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

ศึกสั่งลา ฝ่ายค้านออกลีลาเดิม ส่งเสียงขู่ จะใส่เต็มข้อ ล่อเต็มแข้ง มีข้อมูลเชิงประจักษ์ด้านลบเยอะแยะมากมาย นำมาขยายแผลให้ “พล.อ.ประยุทธ์” จำบ้านเลขที่ไม่ได้

แต่ผู้สันทัดกรณีต่างพากันตั้งข้อสังเกตอีหรอบเดียวกันว่า หวยน่าจะออกประตูเดิม ฝั่งรัฐบาลชนะขาดลอยตามฟอร์ม เหมือนกับครั้งที่ 1-3

ยิ่งตามไปดูสำนวนโวหาร ที่บรรยายสรรพคุณ-พฤติการณ์ของรัฐมนตรีที่ระบุมาเป็นเหตุผลประกอบการอภิปราย ดูไม่ค่อยจ๊าบโดนใจสักเท่าไหร่

เขียนลวกๆ เหมือนขายก๋วยเตี๋ยว โดยเฉพาะข้อกล่าวหา “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คล้ายคลึง ใกล้เคียงราวกับกระดาษแผ่นเดิมที่เคยเขียนเมื่อศึกซักฟอกครั้งที่ 3 โดยระบุว่า

ตลอดระยะเวลาร่วมแปดปีที่บริหารประเทศมาในฐานะนายกรัฐมนตรี ผิดพลาดล้มเหลว ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศ ไม่สามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนได้เลย ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นต้นตอที่ทำให้ปัญหาที่มีอยู่มีความซับซ้อน ขยายวงกว้าง และรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง อาชญากรรม ยาเสพติด การทุจริต คอร์รัปชั่น ประชาชนในชาติแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขยายวงกว้างมากกว่าเดิม

“โดยเฉพาะปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่นในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับว่ามีสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ โดยแพร่กระจายไปทุกอณูของสังคม เป็นยุคที่ทุจริตเฟื่องฟู ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรั้งท้ายของอาเซียนเป็นผลมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ขาดภาวะความเป็นผู้นำที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้นำที่พิการทางความคิด ยึดแต่อำนาจ ไม่เคารพหลักนิติธรรมฯ”

ข้อกล่าวหา “บิ๊กตู่” บรรยายวกไปเวียนมาเกือบหน้ากระดาษเต็ม ขณะที่ของคนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไร ของใครหวือหวา น่าตื่นเต้น อยากติดตาม ยิ่งในส่วนของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ไปไกลมากกว่าใครเพื่อน ถูกกล่าวหาว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไร้คุณธรรม จริยธรรม ไร้จิตสำนึกของการเป็นนักการเมืองที่ดี มีพฤติกรรมทำลายระบบการเมืองด้วยการรู้เห็นเห็นใจ สนับสนุนการใช้เงินและผลประโยชน์เพื่อมุ่งดึง ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นเข้าสังกัดกลุ่มการเมืองของตน โดยไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย และคุณธรรมทางการเมือง

ดูสะเปะสะปะ ไม่รู้ว่าจะ แกงส้ม หรือ ต้มเปรต

เลยถูกสบประมาทตั้งแต่ยังไม่ได้ทำศึกว่า มวยล้มต้มคนดู ภาคสุดท้าย