รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว(๘๙๐) ศ. ดุสิต/เกณฑ์รุ่งเรือง

รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว(๘๙๐)

ศ. ดุสิต

อ่านอนาคตของคุณไม่ยากหรอก…

แค่รู้จักดาว 10 ดวงเท่านั้น!

เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด “คลังโหร”

เกณฑ์รุ่งเรือง

เกณฑ์รุ่งเรืองนี้หมายถึงดวงชาตาที่มีดาวเข้ารูปกันตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ จะทำให้มีชีวิตที่ก้าวหน้ารุ่งเรืองได้ไม่ยาก แม้ชีวิตจะพบอุปสรรคบ้าง ก็สามารถที่จะฝ่าฟันอุปสรรคนั้นไปได้ และจะประสบความสุขสบายในบั้นปลายของชีวิตด้วย

เกณฑ์รุ่งเรืองมีกำหนดดาวเอาไว้ดังนี้

ดาวเจ้าเรือนศุภะสถิตร่วมกับดาวเจ้าเรือนกัมมะเป็นเอกเทศในราศีที่ไม่เป็นทุสถานภพ (หมายถึงดาวสองดวงนั้นอยู่ด้วยกันตามลำพัง ไม่มีดาวอื่นเข้ามาปะปนด้วย)

ถ้าใครมีดาวตามเกณฑ์ที่ว่านี้ ชีวิตก็จะพบกับความรุ่งเรืองแน่

แต่ถ้าบังเอิญดาวเกณฑ์ที่ว่านั้นไม่ได้อยู่อย่างเอกเทศ คือมีดาวอื่นเข้าปะปนด้วย ความรุ่งเรืองก็ยังมีอยู่เช่นกัน เพียงแต่จะถูกดาวที่เข้าร่วมราศีด้วยนั้นบั่นทอนคุณภาพลงไป

ถ้าเป็นดาวที่ให้โทษด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ความรุ่งเรืองที่จะได้ลดน้อยลงไปอีก เพราะต้องลดความรุ่งเรืองที่ได้ลงเพื่อมาแก้ไขโทษที่เกิดขึ้นจากดาวที่ร่วมราศีนั้นนั่นเอง

ตัวอย่าง

เกณฑ์ความรุ่งเรืองที่จะได้นี้ อ่านได้จากดาวเกณฑ์ไปสถิตที่ภพอะไรของลัคนา ใช้ความหมายของภพนั้นอ่านผสมเข้ากับความรุ่งเรืองที่จะได้ และเช่นเดียวกัน ถ้ามีดาวที่ให้โทษหรือดาวอื่นเข้ามาปะปนอยู่ด้วย ก็ตรวจดูว่าดาวเหล่านั้นจะส่งผลอย่างใดเข้าลบล้างความรุ่งเรืองที่จะได้

แต่โดยพื้นฐานแล้ว เกณฑ์แห่งความรุ่งเรืองจะส่งผลให้เจ้าชาตาอยู่เสมอ เพียงแต่ถูกบั่นทอนลงไปได้บ้างเท่านั้น

หมายถึงว่า ผู้ใดได้เกณฑ์นี้แล้ว ก็นับได้ว่าชีวิตจะมีความรุ่งเรืองขึ้นในสถานใดสถานหนึ่งอย่างแน่นอน ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ อย่าให้ดาวเกณฑ์ต้องทุสถานภพอย่างเด็ดขาด ถ้าดาวเกณฑ์นี้เข้าไปสถิตในทุสถานภพ จะกลายเป็นโทษที่เจ้าชาตาจะได้รับในชีวิตตามภพนั้นๆ

ดาวเกณฑ์เข้าภพอริ

ภาวะการงานจะติดขัดไม่ราบรื่น ถูกกลั่นแกล้งทางการงาน ความก้าวหน้าเป็นไปได้ยาก กว่าจะก้าวได้แต่ละขั้นก็แสนเหนื่อย

ดาวเกณฑ์เข้าภพมรณะ

ภาวะการงานจะล้มเหลว ลงทุนไปแล้วประสบความขาดทุนอย่างยับเยิน ระวังจะเสียชีวิตเพราะการเดินทางไกล รุ่งเรืองแล้วก็กลับพลิกผันล่มจมลง

ดาวเกณฑ์เข้าภพวินาสน์

เปลี่ยนงานบ่อย ไม่ได้งานอย่างที่ใจชอบ ภาวะการงานมีความเสี่ยงที่จะเกิดคดีความได้ ได้ดีแล้วจะถูกหักโค่นจากศัตรูคู่แข่ง

ผลของงานได้ไม่คุ้มเหนื่อย

นี่เป็นความหมายคร่าวๆ จากผลของเกณฑ์ แต่การอ่านเกณฑ์นี้จริงๆ แล้วจะต้องใช้ความละเอียดและผสมด้วยเกณฑ์อื่นอีกบ้าง ก็จะทำให้การพยากรณ์มีความแม่นยำและหลากหลายมากขึ้น

เกณฑ์นี้ดูเหมือนเป็นเกณฑ์ธรรมดา แต่ความจริงแล้วเป็นเกณฑ์ที่วิเศษมากเกณฑ์หนึ่ง ที่ว่าวิเศษก็เพราะอ่านได้ง่าย และมีความแม่นยำสูง

การอ่านถ้าผู้อ่านมีภูมิพื้นฐานที่ดี ก็จะสามารถอ่านได้อย่างละเอียด และจะไม่มีปัญหาใดเลย ไม่ว่าดาวเกณฑ์จะไปสถิตที่ภพไหน หรือมีดาวอื่นเข้ามาสัมพันธ์ด้วยอย่างไร ก็สามารถที่จะปรับสภาพของดาวจนอ่านได้ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่ามีความสันทัดและคล่องตัวมากเพียงใดเท่านั้นเอง

จึงขอให้ช่วยกันรักษาเอาไว้ให้จงดีเถิด

เกณฑ์จันทร์จร

การพยากรณ์ด้วย “จันทร์จร” นี้ เป็นการตรวจเพื่อจะดูว่าในปีนั้นชาตาจะอ่อนหรือแข็งอย่างไร วิธีทำก็ไม่ยาก ให้ทำดังนี้

ตั้งอายุโหรลง นับแต่ราศีเมษถึงลัคนาเดิมแล้วบวกกับอายุ เอา 12 หาร ลัพธ์ทิ้งไป แล้วนับแต่จันทร์เดิมไปเท่าเศษ ตกราศีไหน จันทร์จรสถิตที่นั่น

การพิจารณา ให้ตรวจดูว่าภพที่จันทร์จรตกนั้นเป็นภพอะไร ถ้าเป็นภพที่ดี เช่น กดุมพะ, ปุตตะ, ปัตนิ, ศุภะ, ลาภะ ถือว่าดี

ถ้าตกทุสถานภพก็เสีย ชาตาจะอ่อน

และให้ดูอีกว่า ราศีที่จันทร์จรตกอยู่นั้นเป็นราศีประเภทอะไร ปัสสวะ, อำพุ, นระ หรือ กีฏะ

ถ้าเป็นปัสสวะ กับ อำพุ ไม่ดีนัก มีโอกาสพบความเดือดร้อนหรือเป็นทุกข์ได้ แต่ถ้าตกที่ราศีนระหรือกีฏะ ถือว่าเป็นปีที่ดี ยิ่งถ้าเป็นนระเกษตรหรือนระอุจจ์ด้วยยิ่งดีใหญ่ (หมายถึงเจ้าเรือนนั้นไปสถิตอยู่ในราศีที่เป็นเกษตร, อุจจ์)

ถ้าราศีที่จันทร์จรตกอยู่นั้นเป็นโยคกับลัคน์, ตนุลัคน์, ตนุเศษ นับว่าดีมาก แม้จะตกในทุสถานภพก็กลับทอนโทษลง

เกณฑ์จันทร์จรนี้ ไม่ใช่ “ลัคนาจร” นะ หมายถึงเกณฑ์ที่พระจันทร์ได้โคจรไปสถิตอยู่ในขณะที่เราคำนวณนั้น ซึ่งบรรดาโหราจารย์ทั้งหลายนั้นต่างก็ให้ความนับถือแก่การโคจรของพระจันทร์มาก บางครั้งมีความหมายเท่ากับลัคนาตัวหนึ่งเหมือนกัน แต่โบราณท่านใช้เพื่อเป็นการช่วยพยากรณ์ในปัจจุบันขณะนั้นว่า เหตุการณ์ในระยะนั้นจะเป็นอย่างไร และเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำมาก โดยท่านถือเสมือนว่าขณะนั้นชาตาของเจ้าชาตานั้นได้ผูกติดอยู่กับการโคจรของพระจันทร์นั่นเอง

มาดูดวงตัวอย่างในเรื่องนี้สักดวงดีกว่า

เมื่อตอนที่เจ้าชาตานี้มีอายุย่างเข้า 44 ปี นับจากราศีเมษไปหาลัคนาได้ 2 + 44 = 46 เอา 12 หารได้ 3 เศษ 10 นับจากจันทร์เดิมไป 10 ราศีตกที่ราศีสิงห์ จึงเท่ากับพระจันทร์จรไปสถิตที่ราศีสิงห์ในปีนั้น การที่พระจันทร์สถิตที่ราศีสิงห์ทำให้มองเห็นชัดว่าจันทร์จรนั้นได้กระทำ “จตุโกณ” ระหว่างตัวเองกับจันทร์เดิมและลัคนาพอดิบพอดี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หายากมาก ราศีสิงห์นั้นเล็งอยู่กับราศีกุมภ์ ซึ่งมีราหูเป็นเจ้าเรือน

ราศีกุมภ์เป็นภพ “กัมมะ” ซึ่งหมายถึงกิจการที่เจ้าชาตากำลังกระทำอยู่ในขณะนั้น ราหูตัวเดิมนั้นสถิตราศีเมษภพวินาสน์ของลัคนาเดิมอยู่ น่ากลัวว่ากิจกรรมของเจ้าชาตาอาจจะประสบความผิดหวัง แต่เมื่อจันทร์จรได้มาสถิตยังราศีสิงห์ พระจันทร์จรก็ “ตรีโกณ” กับราหูในราศีเมษอย่างพอดี

จันทร์จรเป็นจันทร์ที่มีกำลังสูงอยู่ เมื่อสถิตที่ภพพันธุของลัคนาก็ยิ่งหมายถึงความมั่นคงเพิ่มอีกด้วย พระจันทร์นั้นเป็น “ศรี” ของราหูอยู่แล้ว เมื่อศรีส่งกระแสมาถึงเจ้าภพกัมมะ กิจกรรมที่เจ้าชาตากระทำอยู่ในขณะนั้นก็ส่งผลดีทันที (และในปีนั้นทักษาจรของเจ้าชาตาก็ตกที่ภูมิจันทร์ ทำให้ราหูกลายเป็น เดช ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาด้วย)

นั่นคือ–ทำให้เจ้าชาตาเปลี่ยนชีวิตจากนักธุรกิจธรรมดามาเป็นผู้ถือบังเหียนของประเทศไปในบัดดล ใหญ่คับประเทศไปเลย

นี่คืออิทธิพลของจันทร์จรที่เราควรรู้จักกันไว้

เรื่องของเกณฑ์นี้ในวิชาโหราศาสตร์นั้นมีอยู่มากมาย และผมก็ได้เคยทยอยนำลงมาให้คุณได้อ่านกันหลายเกณฑ์แล้วแต่ก็ยังไม่หมดหรอก ถ้าโอกาสหน้ามีจังหวะดีๆ ผมก็จะสรรหาเกณฑ์ที่น่ารู้มาเสนอให้คุณๆ ได้อ่านกันอีก โปรดคอยติดตามนะครับ