ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กันยายน 2560 |
---|---|
เผยแพร่ |
คอลัมน์ปรุงในครัวทัวร์นอกบ้าน
ยามฝนฉ่ำ หอยทาก ปลิง หนอนและแมลงชนิดต่างๆ จะพากันมาสร้างสีสันปล่อยเมือกสีขาวเป็นทางยาว
บางตัวเกาะติดกำแพงแน่นหนา
บางตัวปล่อยอุจจาระสีดำเล็กๆ เป็นกลุ่มก้อนทำให้เกิดลวดลายธรรมชาติบนฝาผนังบ้าง ฝ้าหลังคาบ้าง ประตูและหน้าต่างกระจกบ้าง
จนยากเกินจะทำความสะอาดในช่วงพายุฝนกระหน่ำได้
พืชผักต่างๆ ก็ไม่ได้น้อยหน้า ถึงแม้จะโดนหอยทาก เต่าทองสิงสถิตนั่งกินนอนกินบนดอกใบอย่างสบายใจแล้วก็ยังพอมีเหลือให้พากันเบ่งบานท้าทายสายฝน
และท้าทายสายตาฉันให้เอื้อมมือไปเด็ดยอดอ่อนๆ มาทำอาหาร
ยอดฟักข้าว ยอดฟักทอง ยอดผักกูด และยอดผักปลังที่มีลำต้นอวบอ้วนและสีสันที่งามตา
ผักปลังแดงคือเอกลักษณ์ของสวนธรรมเพราะเจริญเติบโตงอกงามได้ทุกที่ และมักจะงามกว่าผักปลังเขียวหลายเท่าตัวจึงทำให้ฉันได้ขนมปัง และข้าวสีชมพูจากผลสุกของผักปลัง
บางครั้งก็นำทั้งดอกทั้งผลอ่อนและยอดมาแกงรวมกันใส่แหนมใส่มะเขือเทศเล็กน้อยจะได้ทั้งรสเปรี้ยว หวานและเผ็ด ความกลมกล่อมทำให้ข้าวหมดไปหลายจานอย่างรวดเร็ว
เช้านี้ก็เช่นกัน ฉันเดินออกจากตัวบ้านเข้าสวนไปเด็ดยอดผักปลังที่ฉ่ำน้ำ เสียงหักของยอดผักยามฉันเด็ดนั้นช่างเสนาะหูยิ่งนัก กรอบ สด และอวบอิ่ม
ฉันรีบล้างทำความสะอาดก่อนนำลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
เกลือทะเลถูกเหยาะลงไปเล็กน้อย
ตะเกียบยาวคู่ชีพจับคว้ายอดผักในหม้อวนไปมาแล้วหม้อน้ำเดือดก็ถูกยกลงจากเตา เทลงไปในอ่างล้างจานที่มีกระชอนรองรับ
ฉันคว้ากระชอนยกขึ้นสะเด็ดน้ำอย่างรวดเร็วก่อนเทผักลวกลงในกะละมังน้ำเย็น
ผักถูกบีบขึ้นมาไว้ในจานอย่างสวยงามแล้วโรยด้วยผงปลาคาสึโอ ราดด้วยโชยุ หรือพองสึ (น้ำซอสเปรี้ยวทำจากผลมะนาวยูสึ)
–อย่าลืมโรยด้วยโนรี (สาหร่าย) นะ ผักปลังนี่ต้องมีโนรีด้วย มันเข้ากันได้ดีจริงๆ
เพื่อนฉันที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นผู้ซึ่งติดตามอาหารทุกจานของฉันผ่านทางเฟซบุ๊กได้แนะนำสูตรแห่งความอร่อยของการรับประทานผักปลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
–คุณย่าฉันทำให้ฉันกินบ่อยๆ เหลือเชื่อมากเลยที่เธอปลูกผักนี้กินเองได้
จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ปลูกหรอกนะ ฉันคิดว่านกมันคงเอามาปลูกให้มากกว่าเพราะมันขึ้นของมันเองทุกปีตามจุดต่างๆ ทั่วบ้าน ไม่เห็นจะยากอะไร ฉันก็แค่ทำราวให้มันไต่บ้าง รดน้ำให้มันบ้างเท่านั้นเอง แล้วฉันก็ได้อาหารจานสุขภาพง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแต่เต็มไปด้วยคุณภาพมากมาย
ชีวิตเราก็เช่นกัน ถ้าทำให้ง่ายไม่ซับซ้อน ไม่ซ่อนเงื่อน ไม่เห็นแก่ตัว และไม่ขี้โกงก็คงเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพไม่ยากนัก
–แหม! ทำตัวเป็นนางเอก
–อยากเป็นนางฟ้าในชุมชนละสิ
–พระเวสสันดรมาเกิดหรือไง
–สร้างภาพ ตามกระแสหรือเปล่า
อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แม้องค์พระปฏิมายังราคิน
มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา
เรื่องคำครหานินทาเป็นอะไรที่ฉันคุ้นเคยและชินชาเสมอมาและไม่เคยคิดจะเสวนาต่อกรด้วยแต่อย่างใด จะนางเอกหรือไม่นั้นฉันก็ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย รู้แต่ว่าการเมตตาช่วยเหลือและให้อภัยผู้คนนั้นอยู่ในสายเลือดฉัน
เพราะแม่น้อยได้ทำให้ฉันเห็นมายาวนาน
–ใครทำอะไรแม่คะ
ฉันถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่หมองเศร้านั้นมีหยดน้ำตา แม่ยิ้มให้ฉันนิดหนึ่งทั้งน้ำตาที่เอ่อล้น ฉันอดรนทนไม่ได้พยายามซักไซ้ไล่เลียง แต่แม่ก็ไม่ยอมตอบ…หันหลังเดินเข้าห้องไปเงียบๆ
ฉันหันรีหันขวางอยู่สักพักจึงตัดสินใจลงมาเดินเล่นตรงสวนดอกไม้หน้าบ้าน
–พี่น้อยพรือมั้ง
เพื่อนแม่ที่เดินผ่านหน้าบ้านตะโกนถามฉันอย่างห่วงใยในตัวพี่น้อยของเธอ และพูดต่อโดยไม่รอฉันตอบว่า
–แกโดนโกงแชร์ไปหลายตังนิ เจ๊ฝั่งโน้นยังด่าแกซ้ำหล่าว น่าสงสารแกนิ แกไม่ตอบหรัยซักคำ
ฉันได้ยินยังไม่ทันจบประโยค เลือดก็พุ่งขึ้นหัวจนหน้าแดงก่ำ
–ใครหมันทำแม่ น้ารู้หม้าย
–จะใครหล่าวก็เจ๊ตรงถนนใหญ่นั่นแหละ
ฉันวิ่งไปคว้าจักรยานคู่ชีพกลางเก่าปั่นตรงไปยังบ้านเป้าหมายตรงถนนใหญ่ที่น้าข้างบ้านบอกในทันที
เด็กผู้หญิงตัวผอมยาวเหลืองซีดกับกางเกงขาสั้นสีดำพร้อมเสื้อยืดสีหม่นยืนมองบ้านหลังนั้นอยู่นานด้วยหัวใจที่เต้นรัวก่อนผลักจักรยานทิ้งไป แล้วสมองก็สั่งให้วิ่งไปเก็บก้อนหินใหญ่น้อยมาไว้ในอุ้งมือ
ความร้อนระอุที่แดดแผดเผาก้อนหินนั้นไม่ได้ระคายเคืองฝ่ามือฉันแม้แต่น้อย
ความโกรธ ความโมโหคงทำให้เหงื่อในฝ่ามือซึมไหลออกมาอย่างรวดเร็ว สมองสั่งให้วิ่งไปยืนที่หน้าร้านเจ๊
เด็กตัวผอมเล็กในยามนี้รู้สึกหัวใจพองโตเหมือนคิงคองยักษ์ที่ร่างกายกำยำ ลำแขนใหญ่ ยืนถ่างขา จ้องไปที่ร้านเจ๊ด้วยตาแดงก่ำกลางแสงแดดจ้า แล้วยกมือสูงขึ้น สูงขึ้นก่อนขว้างก้อนหินน้อยใหญ่ในฝ่ามือดังเช่นกระสุนหลุดออกจากลำกล้องโดยอัตโนมัติ
เสียงก้อนหินดังกระแทกหลังคาสังกะสีผสมความเคียดแค้นและเกลียดชังอย่างสนั่นหวั่นไหว