สภาพ ‘หลัง’ ติดฝา เซี่ยวลี้ปวยตอ หนักหนาสาหัส เมื่อพบ ‘ลิ่มซีอิม’/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

สภาพ ‘หลัง’ ติดฝา

เซี่ยวลี้ปวยตอ หนักหนาสาหัส

เมื่อพบ ‘ลิ่มซีอิม’

 

เหตุปัจจัยอะไรทำให้ลี้คิมฮวงต้องหวนคะนึงถึงเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนอย่างล้ำลึกและอย่างเป็นพิเศษ

1 เพราะว่าอั้งไฮ้ยี่นั้นเป็นบุตรของลิ่มซีอิมกับเล้งโซ่วฮุ้น

1 เพราะความเจ็บปวดไม่เพียงแต่จากเหตุปัจจัยแรกเท่านั้น หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังเพราะเจ็บปวดจากพฤติกรรมของอั้งไฮ้ยี่ผู้นั้น

ทุกอย่างจึงล้วนเป็นเหตุปัจจัยระหว่างกันและกัน

เหตุปัจจัยทั้งหมดนี้ย่อมเป็น “ไฟต์บังคับ” ให้ลี้คิมฮวงต้องเดินทางคืนสู่อุทยานตระกูลลี้ (ลี้ฮึง) อีกครั้งหนึ่ง

หลังจากนิราศร้างห่างไปเป็นเวลา 1 ทศวรรษ

กระบวนดำเนินการประพันธ์เช่นนี้ของ “โกวเล้ง” จึงไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำเกลือลงไปในแผลอันตกตะกอนนอนก้นในใจของลี้คิมฮวง

กลายมาเป็นบทว่าด้วย “ความหลังไม่ควรคะนึงหา” และ “อดีตที่กัดกร่อนใจ”

คฤหาสน์ลี้ฮึง (อุทยานตระกูลลี้) ในกาลครั้งก่อน มาตรว่าตอนนี้เปลี่ยนเป็น “เฮ็งฮุ้นจึง” (ตึกเมฆโรจน์) แล้ว แต่โคลงจากพระราชหัตถเลขาทั้ง 2 บาทยังคงอยู่ 2 ฟากข้างประตู

ไม่ว่าจะเป็น “โคลง” ไม่ว่าจะเป็น “บทเพลง” ล้วนน่าสนใจ

ว. ณ เมืองลุง ถอดโคลงออกมาเป็น “หนึ่งคฤหาสน์มีเจ็ดบัณฑิต / บิดากับบุตรสามถ้ำฮวย”

สำนวนแปล น.นพรัตน์ ก็ปรากฏ “ตระกูลเดียวเจ็ดบัณฑิต / บิดา บุตร หลาน สามท้ำฮวย”

ลี้ชิ้มฮัวเห็นบทกลอนชิ้นนี้คล้ายถูกผู้คนเตะใส่ทรวงอก แทบไม่สามารถก้าวเท้าอีกต่อไป

นี่ความจริงเป็นบ้านของลี้ชิ้มฮัว เขาเติบโตในที่นี้ตั้งแต่แรก ในที่นี้เขาเคยผ่านวัยเด็กอันสุขสม และในที่นี้เขาเคยแบกโลงของบิดา มารดาและกอกอออกไปบรรจุฝัง

ผู้ใดจะได้คิด ลี้คิมฮวงตอนนี้ถึงกับมาเป็นคนแปลกหน้าได้ ลี้คิมฮวงฝืนยิ้มด้วยความรันทด

ในความรันทดนั้นริมโสตคล้ายดังได้ยินเสียงเพลงเศร้าดังแว่วขึ้น

 

ไม่ว่าจะเป็นคนในศตวรรษที่ 18 ไม่ว่าจะเป็นคนในศตวรรษที่ 20 หรือแม้กระทั่งคนในตศวรรษที่ 21 ความหลังย่อมตรึงตราในห้วงแห่งสำนึก

บางครั้งก็เป็น “บทกวี” หลายครั้งก็เป็น “เสียงเพลง”

บทกวีอาจจะดำเนินไปอย่างข้ามยุคสมัย เหมือนที่หวนคำนึงถึง วิลเลียม เชกสเปียร์ เหมือนที่รำลึกไปยัง ศรีปราชญ์ หรือ สุนทรภู่

แต่เมื่อเป็น “เสียงเพลง” ย่อมเป็นยุคใครยุคมัน

เมื่อพิจารณาจากสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง บทเพลงอันแว่วอยู่ในความนึกคำนึงของลี้คิมฮวงนั้นคือ จับตามองท่านสร้างห้องหอ / จับตามองท่านเลี้ยงมิตรสหาย / จับตามองหอห้องท่านพังทลาย

แล้วที่พี่ท่าน น.นพรัตน์ ถอดความออกมาเล่าดำเนินไปอย่างไร

มองดูคนปลูกสร้างหอห้อง / เฝ้ามองคนเลี้ยงรับรองแขก / มองเห็นหอห้องแตกทลาย

ลี้ชิ้มฮัวแยกแยะความหมายของเพลงโศก รับรู้ถึงการอยู่ร่วม พลัดพราก ระหว่างผู้คน ความสุขสม โทรมนัสของชีวิตมนุษย์

ยิ่งบังเกิดความอ้างว้างอยู่เต็มอก จนน้ำตาเซี่ยวลี้ปวยตอแทบเนืองนอง

 

ความน่าสนใจของเรื่องราวทั้งหมดมิได้อยู่ที่ว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้ลี้คิมฮวงต้องเดินทางมายังอุทยานตระกูลลี้อีกครั้งหนึ่ง

หากเป็นท่าทีอันสะท้อนออกมาจาก” เล่งโซ่วฮุ้น” มากกว่า

“คิมฮวง คิมฮวง เป็นท่านมาแล้วจริงๆ” ชายกลางคนมีหน้าตาโอ่อ่าภาคภูมิ เสื้อแพรพรรณสวยงาม คางมีเคราเล็กน้อย ถลันออกมาด้วยฝีเท้ารวดเร็ว สีหน้ามีแววพลุ่งพล่านยินดีจนแดงฉาน

เมื่อเห็นลี้คิมฮวง คว้ามือบีบไว้แนบแน่น

นี่ย่อมเป็นเล้งโซ่วฮุ้นอย่างแน่นอน อย่างเด่นชัด ถามว่าทุกเรื่องราวอันเกิดขึ้นที่งู้เกซึงมันรับรู้หรือไม่ รับรู้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่วาจาของมันเหมือนกับจะไม่รับรู้

“เป็นท่านมาแล้วจริงๆ เป็นท่านมาแล้วจริงๆ น้องเรา ท่านทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงแทบตาย คิดถึงแทบตายแล้ว เราพี่น้องกัน สมควรปีติยินดีจึงถูกต้อง ไฉนมาหลั่งน้ำตาดุจหญิงชราได้

รีบไปเชิญฮูหยินออกมา พวกเราทั้งหลายต่างออกมาให้หมดสิ้น มาพบกับเฮียตี๋ของเรา พวกท่านทราบเฮียตี๋ของเราคือผู้ใดหรือไม่ ฮา ฮา เราบอกไปแล้วประกันว่าพวกท่านต้องสะดุ้งตัวลอยทีเดียว”

เมื่อมีชายฉกรรจ์ที่ยืนขนาบข้างเล้งเซี่ยวฮุ้นพุ่งออกมาจู่โจมเข้าใส่ลี้คิมฮวง

“พวกเจ้ากล้าลงมือใส่ท่าน” เล้งโซ่วฮุ้นพลันตวาดด้วยโทสะ สะบัดฝ่ามือพร้อมเตะตามติดอีกเท้าหนึ่ง ชายฉกรรจ์ทั้ง 2 กลิ้งกระเด็นออกไป

“พวกเจ้าทราบท่านเป็นใครหรือไม่ พวกเจ้าคิดอย่างไร บอกกับพวกเจ้า บุตรของเล้งโซ่วฮุ้นก็เป็นบุตรลี้คิมฮวง อย่าว่าแต่ลี้คิมฮวงเพียงสั่งสอนมันสักครั้ง แม้นับว่าฆ่าเจ้าเดียรฉานตัวนี้ก็เป็นที่สมควรอยู่ นับแต่บัดนี้ ผู้ใดก็ห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด

หากผู้ใดกล้าพาดพิงถึงเรื่องนี้อีกแสดงว่ามันจงใจหาเรื่องกับเล้งโซ่วฮุ้น”

 

เด่นชัดอย่างยิ่งว่า แม้ชะตากรรมของเล้งเซี่ยวฮุ้นจะน่าอนาถอย่างยิ่ง กระนั้น ท่วงทำนองถอยของเล้งโซ่วฮุ้นผู้เป็นบิดาก็ดำเนินไปในลักษณะ “ถอยในทางยุทธศาสตร์”

นั่นก็คือ เป็นกระบวน “ถอย” อย่างมี “การรุก”

“โกวเล้ง” บรรยายสถานการณ์ของลี้คิมฮวงออกมาผ่านสำนวน ว. ณ เมืองลุง ว่า ลี้คิมฮวงยืนแน่วนิ่ง มิเคลื่อนไหว

แต่ในใจมีรสชาติเยี่ยงไรก็บอกมิถูก

หากแม้นเล้งโซ่วฮุ้นดุด่า ประณามสักพัก กระทั่งแตกหักมาลงมือ ลี้คิมฮวงอาจลางทียังรู้สึกสบายใจกว่านี้บ้าง แต่เล้งโซ่วฮุ้นกลับถือน้ำมิตรมีความสำคัญปานนี้

ในใจลี้คิมฮวงยิ่งรู้สึกละอาย ยิ่งปวดแปลบ

ผู้คนในห้องโถงใหญ่ส่วนมากเป็นชนชาวนักเลงอันโชกโชน ไหนเลยสายตาจะไม่กระจ่างแจ่มใส ได้พากันฮือเข้ามารายล้อมอยู่นานแล้ว ทักทาย ถามไถ่ลี้คิมฮวงอย่างประจบสอพลออยู่ตลอดเวลา

พลันได้ยินคนผู้หนึ่งร้องขึ้น “รีบเลิกม่าน ฮูหยินออกมาแล้ว”

 

ห้วงเวลานี้ต่างหากที่หนักหนาสาหัสอย่างยิ่งหากมองจากด้านของลี้คิมฮวง แม้ “โกวเล้ง” จะเปล่งประกาศออกมาว่า ในที่สุด ลี้คิมฮวงก็ได้พบลิ่มซีอิมอีกครั้ง

เป็นการพบหลังจากพรากเป็นเวลา 10 ปี

สำนวนแปล น.นพรัตน์ ถอดความออกมาว่า ลิ้มซีอิม (สำเนียงกวี) อาจมิใช่สตรีที่งามพร้อมไร้ตำหนินางหนึ่ง แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจปฏิเสธว่านางเป็นหญิงงาม

สีหน้านางซีดขาวเกินไป ร่างกายแบบบางเกินไป

ดวงตาของนางแม้สุกใส ออกจะชาเย็นไปบ้าง แต่บุคลิกของนาง ลักษณะราศีของนาง สุดที่จะทัดเทียมได้

ไม่ว่าอยู่ในสภาพอย่างไรนางสามารถบันดาลให้ผู้คนรู้สึกถึงเสน่ห์ที่โดดเด่นเฉพาะของนาง

ไม่ว่าผู้ใดขอเพียงพบเห็นนาง ครึ่งหนึ่งจะไม่มีวันลืมเลือนได้ ใบหน้านี้ไม่ทราบปรากฏขึ้นในห้วงความฝันของลี้ชิ้มฮัวกี่พันกี่หมื่นครั้ง

ทุกครั้งนางล้วนอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น ห่างไกลจนสุดไขว่คว้าได้

ทุกครั้งที่ลี้ชิ้มฮัวคิดโอบกอดนางพลันสะท้านตื่นจากฝันร้ายที่ใจแหลกสลาย ได้แต่นอนสั่นสะท้าน หลั่งเหงื่อเย็นเยียบโซมกาย มองดูม่านวิกาลที่มืดมิดนอกหน้าต่าง พกพาความปวดร้าวรอคอยฟ้าสางสว่าง

แต่รอจนฟ้าสางสว่าง เขายังคงปวดร้าวดุจเดียวกัน อ้างว้างดุจเดียวกัน

 

นี่ย่อมเป็นฉากที่ย่ำแย่อย่างหนักหนาสาหัสยิ่งเมื่อมองจากด้านของลี้คิมฮวง ไม่เพียงเพราะเล้งเซี่ยวฮุ้นมีมารดาเป็นลิ่มซีอิม

หากยังมีบิดาเป็นเล้งโซ่วฮุ้น

ความน่าสนใจจึงมิได้อยู่ที่ท่าทีของลิ่มซีอิมซึ่งรักบุตรเล้งเซี่ยวฮุ้นเป็นอย่างยิ่งประการเดียว หากแต่ยังอยู่ที่อาการของลี้คิมฮวง

ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดคือท่วงท่าอาการอันออกมาจาก “เล้งโซ่วฮุ้น”