การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ยิ่งจดจำ

แสงจันทร์กระจ่าง ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง และตกทอดลงบนพื้นเสื่อน้ำมันซึ่งฉันนอนตะแคงมองดูอยู่

พี่โฟหาผ้านวมมาปูให้ผืนหนึ่ง ถึงจะไม่นุ่มเท่าสะลี แต่ฉันก็ไม่มีข้อขัดข้องอะไร ถึงตอนนี้แล้ว อยู่ที่ไหนก็ได้ ต่อให้ต้องนอนบนดินบนทราย ฉันก็ต้องยอมรับมัน

เท่านั้นเอง

เวลาผ่านไปแล้วอีกหลายวัน และพี่โฟก็หายออกไปจากห้องถี่มากขึ้น ความว่าเฮียผู้ผัวมารับไปเที่ยวทางโน้นทางนี้ เป็นโอกาสที่ “ซ้อ” ไปเที่ยวเมืองจีน

“ก็ให้มันได้มีความสุขบ้าง” พี่ฝนบอกอย่างนั้น

ที่บ้านพ่อแม่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ป่านนี้น้องจะโตขึ้นสักแค่ไหน

พวกเขาจะว่าอย่างไร ถ้ารู้ว่าฉันยังคงไปไหนไม่รอด

ยังอยู่ตรงนี้

 

เสียงไขประตูดังแกร็ก ลูกบิดหมุนจากภายนอก เงาหนึ่งทอดเข้ามา

ไม่ต้องเปลี่ยนย้ายสายตา ฉันก็รู้ว่าคือรอยเท่านั้น

“หลับหรือยัง อีพี่”

มีกลิ่นของอาหารบางอย่างอวลตามมาด้วย

“ลุกๆ กูมีของมาให้”

ไม่อยากทำตาม แต่รู้ว่า เนิ่นนานช้าก็จะมีปัญหากันอีก จึงยกตัวขึ้นนั่ง

“อะไร”

“…มาดูนี่เลย”

น้ำเสียงหมารอยตื่นเต้น ในแสงจันทร์รำไร ละม้ายแววตาจะวาววามเป็นพิเศษ

“เดี๋ยวเปิดไฟ”

“ไม่ต้องๆ” รอยห้ามไว้ “มึงอยู่เฉยๆ กูจัดการเอง”

ฟึ่บ!

เปลวไฟลุกเรืองขึ้น กลิ่นน้ำมันพุ่งเข้าจมูก ฉันแทบตกตะลึง จ้องดูตะเกียงน้ำมันก๊าดตรงหน้า

“…กม”

“อื่อ กมไง”

เราจะออกเสียงเรียกโคมว่า “กม” และที่กำลังเปล่งแสงตรงหน้า คือกมตะเกียงน้ำมันก๊าดอันหนึ่ง

“…เอามาจากไหน”

“ซื้อมาสิ” รอยว่า แล้วขมีขมันแกะห่อของอีกอย่าง เสียงพลาสติกเสียดสีกัน “เอาละ เรามากินเลี้ยงกัน”

 

มีเส้นก๋วยเตี๋ยวผัดอยู่ในใบตอง วางเคียงกันสองห่อ เพียงคลี่อ้าก็ได้กลิ่นที่เข้าจมูกมาแต่แรก หอมอุ่นแรงมากยิ่งขึ้น ในแสงไฟตะเกียงน้ำมันก๊าด เส้นก๋วยเตี๋ยวผัดมีสีน้ำตาลทองลออ

ถั่วงอกสีขาว ผักป้อมต้นหอมเขียวสด รอยใช้มือเปล่าขยำเบาๆ คลุกเอาน้ำตาลที่โรยหน้าให้แทรกผสมเข้าไป

“กินเลยอีพี่ เจ้านี้อร่อย”

“…ทำแบบนี้ทำไม” ฉันแทบไร้เสียงอีกคราวหนึ่ง

“ก็กูนึกถึงมึง” รอยตอบ “มึงจะเคยได้กินแบบนี้อีกไหม”

“…มึงเอากมมาด้วยทำไม”

“ก็จะได้กินเลี้ยงไง้” รอยเงยหน้า และสบตาฉัน “ถ้ากูต๋ามกมเหมือนวันที่เราเคยกันอยู่แต่ก่อน เผื่อมึงจะจำทุกๆ อย่างได้”

อะไรทำให้อ้ายหมารอยทำในสิ่งที่โง่เขลาขนาดนี้ หัวทื่อๆ ของมันมีแต่ขี้เลื่อยหรือยังไง ใจอยากจะด่าออกไปสักร้อยพันคำ…กับสิ่งที่มันทำ

“…มึงแกล้งกู”

“กูไม่ได้แกล้ง…อ้าว ร้องไห้ทำไม อีพี่”

ฉันกินก๋วยเตี๋ยวห่าเหวไม่ลงเลยสักครึ่งคำ ตาพร่าจนต้องรีบจะเบือนหนี แต่แขนเพียงข้างเดียวทำให้ทุกอย่างยังยากอยู่

“…อีพี่”

“มึงไม่ต้องมาวอกใส่กู!”

“…กูวอกยังไง!”

นั่นสิ อ้ายหมารอยมันวอกยังไง ตัวฉันต่างหากที่รับไม่ได้กับสิ่งที่มันทำ

“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู”

“อีพี่!”

“ไปให้พ้น มึงไปให้พ้นหน้ากูเลย!”

 

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นเป็นอีกครั้งที่ฉันพยายามถามตัวเองเสมอมา ในชั่วเสี้ยวเวลาที่อ้ายหมารอยเข้ามาประชิดถึงตัว แล้วมันก็รัดเอาตัวฉันไว้

“มึงอย่าดิ้น อีพี่ อย่าดิ้นไปไหน!”

“มึงปล่อยกู”

“ไม่”

วงแขนแข็งเหมือนคีม บีบรัดฉันไว้ในอ้อมอก หมารอยกดใบหน้าลงมาแนบกับเส้นผมฉัน

“กูคิดถึงมึงนัก อีพี่ กูอยู่ตรงนี้ มึงก็อยู่ตรงนี้ มึงเป็นคนที่กูรักที่สุด มึงเคยรู้บ้างมั้ย!”

แข็งทื่อและชาไปทั้งตัว ไม่ใช่ความกลัวเหมือนอยู่กับคนอื่นๆ และไม่ได้หวั่นว่าอ้ายหมารอยจะทำอะไรมากไปกว่านั้น

แต่ทุกอย่างที่มันกรอกเข้าหูมา พาเอาสิ่งต่างๆ ระเนระนาดดั่งพายุโถมใส่

“ไม่…ไม่จริง”

“จริง อีพี่ มึงไม่เคยรู้เลยหรือว่ากูทรมานใจแค่ไหน”

ฉันไม่เคยคิดสักนิดน้อยว่าจะได้ยินคำสารภาพรักอย่างนั้น และมันมาจากญาติร่วมผี มันคือญาติผู้พี่ เรามีแม่มียายสายตระกูลเดียวกัน

“กูดีใจเหลือเกินที่ได้เจอมึงอีก…หนก่อนโน้น กูผิดเอง กูทำผิดกับมึงนัก”

 

“ปล่อยกู ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ!”

แต่มันยังคงมีคืนหนึ่ง…คืนที่มีเสียงแผดออกมา

…คืนที่ฉันจรดตีนเข้าข้างฝา แนบหูฟังกับผนัง

ยินเสียงครูดบนพื้น คล้ายใครลากของหนักๆ เสียงหัวเราะต่ำในลำคอ คล้ายเยาะ คล้ายพึงพอใจในความขบขัน

“ไอ่ชาติหมา ไอ่วอก ไอ่ฮ่าปัก…”

เสียงด่าปนการสะอื้นไห้ ฉันใจหายวาบ ตัวเย็นและมือเท้าแข็งชายิ่งกว่าหนแรกที่รู้ว่ามีคนเข้าบ้านมา

“มึงจะสลิดไปทำไม ไหนว่ารักพี่”

“ไม่รัก กูไม่รักมึงแล้ว!”

“หึหึ ไม่รักไม่มีปัญหา”

“มึงอย่าทำอย่างนี้กับกู” อัมพรหวีดออกมาอีก เสียงไห้เร่งระรัวขึ้น “กูไหว้ละ มึงอย่าทำกูเลย”

“เฮ้ย พวกมึงออกไปรอนอกห้อง กูจะปรับความเข้าใจกับเมียหน่อย”

“พอเถอะ พอแล้ว อย่าทำกับกูอย่างนี้…อีพี่ ช่วยกูด้วย!”

หลานชายเจ้าของบ้านยังหลับสนิท

ตัวฉันสั่น รู้สึกได้อย่างนั้น ขากรรไกรกระทบกันกึกกัก หรืออาจเป็นเสียงกระดูกข้อต่อในร่างกาย คืนนั้น…ที่ฉันกลัวมากอย่างไม่เคยกลัวมาก่อน

สิ่งที่ทำให้หวาดกลัวที่สุดนั้น ไม่ใช่เสียงผู้ชายแปลกหน้าในบ้าน แต่เป็นเสียงไห้ของอัมพร

ถึงอุดหูก็เหมือนเสียงแทรกซึมเข้ามาได้ มันเป็นเสียงของความรวดร้าว การพร่ำวอน ความเจ็บแค้นต่อการไว้วางใจ การร้องขอที่ไม่มีประโยชน์

เสียงการยอมจำนนลามไหลเข้ามาตามซอกร่องพื้นลายไม้ ดั่งสายน้ำเล็ดลอดจากฟากห้องหนึ่ง สู่อีกห้องหนึ่ง

ห้องที่ฉันนอน

และคืนนั้น…ที่แล้วบานประตูก็แง้มออก

ประตูเปิดออกจนได้ ในที่สุด ฉันได้ยินเต็มสองหู เสียงลากตีนเหมือนคนเดินไม่ถนัดล่วงเข้ามา ฉันหลับตาแน่นลึกกว่าเดิมอีก จนกระทั่งจมูกได้กลิ่น

มีกลิ่นเหงื่อสาบๆ มาอยู่ใกล้

ไม่ได้ลืมตา แต่รู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีคนกำลังยืนเพ่งจ้องอยู่ ในอกมีเสียงกลองดังก้อง แต่คงเป็นเสียงกลองที่สะท้อนความอ่อนแอและหวั่นไหว

เด็กชายในอ้อมแขนขยับตัวขึ้นมา ฉันรีบรัดแขนเอาไว้ ซุกหน้า ภาวนาให้เด็กชายหยุดละเมอเสีย

มีเสียงขยับเคลื่อนที่ มีไอผ่าววนมาใกล้ตัว และก็มีมือยื่นมาแตะใบหน้า

มันคือคืนนั้น…ที่ฉันยังจำสัมผัสนั้นได้ไม่เลือน มือหนึ่ง…ปลายนิ้วสากกร้าน ลูบผ่านไปบนแนวผม ไต่โค้งขอบข้างหู ดั่งลังเลไม่แน่ใจ แต่แล้วก็บีบเร็วแรงให้คางหันหา

ฉันลืมตาขึ้น และพลันพบใบหน้า ที่ก็เบิกตากว้าง

ดั่งโลกหยุดหมุน

เสียงของอัมพรหวีดดังอีกครั้ง ความเจ็บปวดและการข่มเหงที่ไร้ปรานียังไม่สิ้นสุดง่ายๆ ขณะที่หัวใจฉันใกล้แตกสลาย

ขากะเผลกลากผ่านความมืดสลัวออกไป เห็นแต่แผ่นหลังเป็นเงาตะคุ่ม ประตูหับลงด้วยเสียงกริ๊ก ลูกบิดถูกกดยุบลง

…คืนนั้น ที่ฉันกับรอยพบกันครั้งสุดท้าย

ก่อนชีวิตจะพาเรากลับมา…

 

“กูดีใจเหลือเกินที่ได้เจอมึงอีก…หนก่อนโน้น กูผิดเอง กูทำผิดกับมึงนัก”

รอยยังคงแนบใบหน้าลงมา ทว่า แม้วันนี้จะมีตะเกียงน้ำมันก๊าดเบื้องหน้า มีก๋วยเตี๋ยวผัดในห่อที่เราเคยโหยหา วานโน้นมีก๋วยเตี๋ยวกับไอติมที่รอยหอบมา จนบัดนี้ มีกระทั่งน้ำเสียงจริงจังสั่นพร่า แต่ว่า ฉันกลับยิ่งจำในสิ่งที่ควรลืมสิ้นไป

และเพื่อพบว่า ฉันไม่อาจจะตอบรับความรู้สึกของรอยได้…มันย่อมเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่เสียงหวีดร้องของอัมพรยังก้องอยู่ในหูฉัน

กับเสี้ยวนาทีที่ดวงตาของฉันมองเห็นใบหน้ารอยชะโงกอยู่เหนือหน้า

ยิ่งจดจำ ยิ่งทำให้ฉันแน่ใจยิ่งกว่าครั้งใดๆ ว่า

ฉันไม่ได้ยินดีเลยกับการพบรอยครั้งนี้…ไม่ยินดีเลย