เจาะใจ Bangkok Transformer / เครื่องเคียงข้างจอ : วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ

วัชระ แวววุฒินันท์

 

เจาะใจ Bangkok Transformer

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา รายการเจาะใจเกาะกระแสการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยถ่ายทอดสดการแสดงความคิดเห็นของผู้สมัคร 5 คนด้วยกัน ได้แก่

หมายเลข 1 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล

หมายเลข 3 สกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครอิสระ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ในยุคของผู้ว่าฯ อัศวิน

หมายเลข 4 สุชัชชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ คนนี้พรรคประชาธิปัตย์ส่งเข้าประกวด

หมายเลข 8 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ ที่ประกาศตัวมานาน

หมายเลข 11 น.ต.ศิธา ทิวารี จากพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์

สังเกตผู้สมัครแต่ละท่านได้ว่า ซูบผอมและผิวคล้ำขึ้นกันเป็นกอง บางคนบอกกับทีมงานว่าน้ำหนักลดไปเกือบ 10 ก.ก. ช่วงกลางวันก่อนจะมาออกรายการก็ได้ลงพื้นที่ ซึ่งเป็นวันที่มีฝนตกหนักด้วย บางคนบอกว่า “ฝนตกยังดีกว่าแดดออก อย่างวันที่แสงแดดตรงหัว โอ้โฮ ร้อนมากๆ แทบจะละลายเลย”

สัญญา คุณากร ได้ทักทายทั้ง 5 คนในตอนต้นรายการ และถามว่ามีใครติดโควิดบ้างไหม เพราะต้องเจอผู้คนจำนวนมาก ซึ่งโชคดีที่แต่ละคนยังเอาตัวรอดมาได้ ส่วนในเวลาที่เหลือหากโชคร้ายดันติดขึ้นมา คงลำบากกันแน่นอน

รายการครั้งนี้จัดเวลา 2 ชั่วโมงเต็ม โดยช่วงแรกให้ทุกท่านได้พูดถึงนโยบายที่เป็นจุดขายและจุดแข็งของตนเองในเวลา 6 นาที ซึ่งแต่ละคนก็ได้นำเสนอนโยบายที่แตกต่างกันไป เรียกว่าถ้าเอาสิ่งดีๆ ของทุกคนมามัดรวมกันแล้วลุกขึ้นทำได้จริงๆ กรุงเทพมหานครต้องดีขึ้นแน่นอน

ในช่วงที่สอง สัญญาให้ผู้สมัครแต่ละท่านได้ตอบคำถามจากคอลัมนิสต์ของเจาะใจ 5 คนแบ่งกันไปคนละคำถาม โดยผู้ถามได้ส่งเป็นคลิปมาเปิดในรายการ

ชัชชาติได้คำถามของป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม ถามว่า Street Food เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของกรุงเทพฯ ทำอย่างไรให้พ่อค้าแม่ค้าก็ขายได้ ในขณะที่คนสัญจรไปมาบนทางเท้าก็ยังใช้งานได้สะดวก

ชัชชาติตอบว่า เรื่องหาบเร่แผงลอยเป็นสิ่งจำเป็น ต้องจัดการบริหารโดยให้มีการลงทะเบียนผู้ค้าว่ามีเท่าไหร่ จัดการอบรมทักษะพวกเขาให้พร้อม โดยต้องเลือกพื้นที่ที่จะให้ค้าขายให้ดี กำหนดพื้นที่ที่สามารถขายได้ และต้องเป็นที่ที่มีคนซื้อได้ง่ายด้วย ในแต่ละท้องที่ให้ทำความตกลงกันของคนในชุมชนเพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ได้คำถามของอุ๋ย บุดด้าเบลส ที่ถามว่า ถ้าท่านได้เป็นผู้ว่าฯ คิดว่ามีโครงการอะไรบ้างที่ไม่สามารถทำได้เสร็จในวาระ 4 ปี

ดร.เอ้ออกตัวก่อนว่า ที่จะตอบนี่ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำ ทำแน่นอน แต่ต้องยอมรับว่าหลายเรื่องเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถทำให้เสร็จใน 4 ปีได้ แต่อย่างน้อยก็ได้เริ่มต้นและวางรากฐานที่ดีไว้เพื่อว่าผู้ที่มาทำหน้าที่ต่อจะได้ไม่เป็นภาระเกินไป

โดย ดร.เอ้ให้ความสำคัญกับ 2 เรื่องคือ เรื่องน้ำทะเลหนุน เพราะทุกปีดินกรุงเทพฯ จะทรุดลงทุกปี และน้ำทะเลก็หนุนมากขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้น ต้องจัดการเรื่องนี้ทันที และต้องใช้เวลานาน อาจจะถึง 10-20 ปีก็ได้ แต่ต้องทำวันนี้

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ การศึกษา โดยจะจัดการศึกษาให้โรงเรียน กทม.มีระบบการศึกษาสมัยใหม่ ทันโลก แบบโรงเรียนสาธิตอื่นๆ แน่นอนที่ทำไม่เสร็จใน 4 ปี แต่อย่างน้อยก็จะได้โรงเรียนต้นแบบจำนวนหนึ่ง ที่นำไปต่อยอดในเวลาต่อไปได้

ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล อย่างวิโรจน์ ได้คำถามของโหน่ง วงศ์ทนง ที่มีให้ตอบถึง 2 คำถามด้วยกัน ข้อ 1. คือ คิดว่าการให้ทุกจังหวัดสามารถเลือกตั้งผู้ว่าฯ ของเขาแบบกรุงเทพฯ และพัทยา ดีหรือไม่ เพราะอะไร ส่วนข้อ 2. ถ้าท่านได้เป็นผู้ว่าฯ มีเรื่องอะไรที่ท่านสัญญาว่า “จะไม่ทำ” แน่นอน

วิโรจน์ตอบคำถามข้อแรกว่า การมอบอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินเป็นสิ่งที่ดีและควรทำอยู่แล้ว ซึ่งผู้ว่าฯ ที่มาจากการแต่งตั้งจะไม่สนใจดูแลประชาชนเท่ากับผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแน่นอน

ส่วนอีกข้อหนึ่งนั้น วิโรจน์ตอบถึงสิ่งที่จะไม่ทำแน่นอน คือ การคอร์รัปชั่น รวมทั้งการรวบงบประมาณไว้ในมือตนเอง และการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนจนเกิดการเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมเหมือนในปัจจุบัน

สำหรับสกลธีนั้น ได้คำถามของตุ้ม สรกล หรือหนุ่มเมืองจันท์ ที่ถามให้ตอบ 2 คำถามด้วยกัน คือ ข้อแรก ในวาระ 4 ปีคิดว่าปัญหาอะไรสำคัญที่สุดที่ตั้งใจจะทำมากที่สุด และในช่วง 90 วันที่เหลือมีปัญหาอะไรที่จะแก้ให้สำเร็จ

สกลธีตอบข้อแรกว่า โครงการที่ตั้งใจจะทำมากที่สุดคือ การสร้างรายได้ให้กับ กทม. และต้องบริหารงานเป็น เช่น เรื่องขยะ สามารถบริหารจัดการให้เอกชนทำ โดย กทม.ก็ได้รายได้เข้ามา หรือการให้มี City Tax หรือภาษีเหยียบแผ่นดินที่เมืองใหญ่หลายเมืองทำกัน

ส่วนข้อที่สอง สกลธีตอบว่าในเวลา 90 วัน จะเร่งทำเรื่องท่อระบายน้ำ เพื่อรองรับเรื่องน้ำท่วม เป็นสำคัญ

มาถึงศิธาบ้าง ได้คำถามของปอนด์ ภริษา ที่ถามว่า ท่านมีจุดแข็งในทักษะเรื่องอะไรที่จะนำมาใช้ในการบริหารงาน พร้อมยกตัวอย่างผลงานที่เคยทำมาแล้วด้วย

ศิธาตอบว่าจุดแข็งของตนเองคือ การมุ่งมั่นสู่เป้าประสงค์ของงาน ตนเองเคยเป็นนักบินขับไล่มาก่อน ซึ่งนักบินจะต้องมุ่งมั่นทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุถึงภารกิจที่ได้รับให้สำเร็จ และถ้าตนได้เป็นผู้ว่าฯ ก็จะใช้ทักษะเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจนี้ใช้ในการบริหารงานเพื่อต้องทำให้ได้ตามวัตถุประสงค์นั้น

ตัวอย่างที่เคยทำ ศิธายกถึงตอนที่ตนเองเคยเป็นประธานกรรมการของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ได้ทำให้เกิดลู่ขี่จักรยาน Sky Lane ขึ้น จนทุกวันนี้มีคนใช้ในการขี่จักรยานออกกำลังกายจำนวนมาก และก่อให้เกิดการค้าขายและอาชีพตามมาด้วย รวมทั้งการให้เอกชนได้มาวางระบบอินเตอร์เน็ตของสนามบินให้ฟรี จนมี wifi free ไว้บริการ

 

จากการตอบคำถามของเหล่าคอลัมนิสต์ ก็มาถึงช่วงตอบคำถามจากรายการ ที่แต่ละคนต้องเลือกซองคำถามแบบนางงามกัน คำถามก็มีหลากหลายแนว ซึ่งผู้สมัครแต่ละคนก็ตอบกันได้ดี หาชมย้อนหลังได้ทาง FB และ Youtube ของเจาะใจ ได้นะครับ

ช่วงท้ายของรายการ สัญญาขอถามคำถามของตนเองบ้าง โดยบอกว่าตอนที่ตนทำรายการเจาะใจกับดำรง พุฒตาล นั้น ได้มีการเชิญผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.มาพูดคุยกันเหมือนในวันนี้ และมีคำถามหนึ่งที่ดำรงได้ถามไว้ จึงอยากขอนำมาถามทุกท่านในวันนี้

คำถามนั้นคือ “ตอนหาเสียงท่านบอกจะทำนั่นทำนี่ แต่หากท่านได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.จริงๆ แล้ว สิ่งที่บอกไว้มันไม่เกิดขึ้นจริงเลย ท่านจะบอกกับชาว กทม.ว่าอย่างไร”

เป็นคำถามที่อาจจะโดนใจคนหลายๆ คน เพราะตามวิถีของการเมืองบ้านเราในทุกๆ ระดับ ที่มักจะพูดไว้เยอะ แต่ทำได้น้อย หรือไม่ได้ทำเลย ก็มีให้เห็นบ่อยๆ

ส่วนใครจะตอบคำถามนี้อย่างไร ก็ไปย้อนชมกันได้นะครับ

หลังจากถ่ายทอดสดเสร็จ ผู้สมัครแต่ละคนบอกว่า คำถามดี เข้าใจถาม น่าตอบ

ส่วนตอบแล้วจะโดนใจผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนแค่ไหนก็เป็นเรื่องของแต่ละคนไป และสุดท้ายชาว กทม.จะได้ใครมาเป็นพ่อเมือง อาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคมนี้ รู้กัน •

 

(หมายเหตุ : ฉบับที่แล้ว ผมเขียนบทบาทที่นพพล โกมารชุน แสดงในละคร เก้าอี้ขาวในห้องแดง ว่าชื่อ “อาทร” แต่จริงๆ แล้วคือ “อินทร” จึงขออภัยผู้เกี่ยวข้อง และท่านผู้อ่านมา ณ โอกาสนี้ด้วย)