มุกดา สุวรรณชาติ : ถ้า…ทำลายล้างคือเป้าหมาย จะไม่มีปรองดอง…ไม่มีรัฐบาลแห่งชาติ

มุกดา สุวรรณชาติ

วิเคราะห์เส้นทางทำลายล้าง มิใช่ปรองดอง

ถ้าย้อนไปดูในอดีต 2549 มีการโค่นอำนาจนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการรัฐประหาร ตามด้วยการดำเนินคดี ตามด้วยการยึดทรัพย์ พรรคเพื่อไทยถูกยุบ ตัดสิทธิ์กรรมการพรรคทางการเมือง 5 ปี

ส่วนนายกฯ สมัคร สุนทรเวช หาความผิดอะไรชัดไม่ได้ ก็โดนคดีสอนทำกับข้าวทางโทรทัศน์

นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ถูกปลด 2554 แม้ประชาชนจะเลือกนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยเสียงท่วมท้นเพื่อไทยได้คะแนนเกินครึ่งสภา แต่ก็ถูกปลด ถูกรัฐประหาร ถูกดำเนินคดีเรื่องข้าว และอาจจะมีเรื่องอื่นตามมาอีก ไม่ให้โอกาสเข้าสู่วงการเมือง

เวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ต้องถือว่าเป็นการตามจองล้างจองผลาญ

เหตุผลหลักอาจจะเป็นเพราะว่าการลงทุนล้มอำนาจนายกฯ ทักษิณที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ยังสืบทอดอำนาจไม่ได้ ฝ่ายนายกฯ ทักษิณก็ยังคงอยู่ แม้เปลี่ยนเป็นคนอื่นที่มาจากการเลือกตั้งก็ถือว่าไม่สามารถจบเกมได้

มีบางคนคิดว่าถ้าเปลี่ยนนายกฯ ที่ไม่ใช่ตระกูลชินวัตรแล้วเรื่องจะจบ

แต่สถานการณ์จนถึงวันนี้บอกได้ว่าถึงมีคนอื่นที่มาจากค่ายเพื่อไทยขึ้นมาเป็นนายกฯ จากการเลือกตั้งก็จะต้องถูกโค่นอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะตามรัฐธรรมนูญใหม่ 2560 ทั้งอำนาจศาล องค์กรอิสระ กรรมการยุทธศาสตร์ ล้วนแล้วแต่สามารถโค่นนายกฯ จากการเลือกตั้งภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน

ทางออกแบบปรองดองที่หลายคนคิดว่าต้องยอมให้มีรัฐบาลผสมนายกฯ คนนอกภายใต้ประชาธิปไตยครึ่งใบเอาพรรคการเมืองมาร่วมกันให้มีลักษณะเป็นรัฐบาลแห่งชาติและจะปกครองได้ยืดแบบสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ยืดมาได้ถึง 8 ปี

แต่สภาพแวดล้อมทางการเมืองและเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางการสื่อสารในยุคปัจจุบันอาจจะไม่ง่ายอย่างยุคก่อน โดยเฉพาะการฟาดฟันตามล้างทางการเมืองโดยใช้กลไกทางกฎหมาย องค์กรอิสระและศาล

 

แกนนำทั้งชินวัตรและเพื่อไทยจะถูกกดดัน

สถานการณ์การกดดันล่าสุด มีลักษณะที่จะบังคับให้คู่ต่อสู้ทางการเมืองลี้ภัยออกนอกประเทศ สมัยก่อนก็คือการเนรเทศดีๆ นี่เอง

กรณีทักษิณ ถือว่าทำสำเร็จในแง่ที่ผลักดันออกนอกประเทศ เพียงแต่โลกยุคใหม่ทำให้ทักษิณยังสู้อยู่ได้

กรณีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตอนที่ถูกปลดจากตำแหน่ง เพราะคดีย้ายเลขาธิการ สมช. เป็นเพียงขั้นต้นของการเปิดเกม แต่การรัฐประหารยึดอำนาจ ถือเป็นการเปิดหน้าเล่นงานแบบไม่เกรงใจ เมื่อตามด้วยคดีจำนำข้าว แถมมีการขู่ว่าจะมีคดีอื่นตามมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็ต้องถอยออกนอกสนามทันที นี่ก็เป็นการประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับทักษิณจะโดนฟาดฟันไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะอยู่ในวงการเมืองหรือไม่

เช่นกรณี คุณบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ไปซื้อที่แถวคลองหลวงทั้งๆ ที่ไม่ได้ติดกับวัดพระธรรมกาย เป็นที่ดินที่ปักป้ายประกาศจัดสรรขายไว้มีคนซื้อไปหลายแปลง หลายคน เมื่อมีกรณีธรรมกาย ที่ดินคุณบรรพจน์ก็ถูกอายัดเพียงแปลงเดียว ผู้ซื้อรายอื่นไม่ถูกอายัด และคนซื้อที่ก็อาจจะถูกฟ้อง โดยให้ไปแก้ข้อหาเอาเองในอนาคต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคดีนี้จะไปสิ้นสุดเอาเมื่อใด ถึงแม้ไม่มีความผิด ความเสียหายก็เกิดแล้ว

นี่ขนาดเป็นที่ซื้อ-ขายธรรมดา ถ้าเป็นแบบขอใช้ที่สาธารณะ แบบเครือกระทิงแดง ที่อนุมัติโดยมหาดไทยที่กำลังเป็นข่าว คงถูกจัดหนักแน่

 

พ่อของเอ็ง…เคยด่าข้าไว้

ส่วนคดีที่กำลังเป็นข่าวคือ คดีลูกแกะของนายกฯ ทักษิณ พานทองแท้ ชินวัตร เดิมเรื่องนี้คล้ายว่าจะจบลงไปแล้วแบบไม่มีมูลที่จะฟ้อง แต่ปรากฏว่ากลับถูกรื้อฟื้นขึ้นมา เพราะพ่อแกะกับหมาป่าเป็นคู่กรณีกัน

กรณี พานทองแท้ ชินวัตร ถ้ามีเป้าหมายเพื่อเนรเทศ ก็ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพานทองแท้จะมีอิทธิพลทางการเมืองอะไร แต่เป็นแต้มที่จะใช้บีบคั้นต่อรอง เพื่อให้ทั้งนายกฯ ทักษิณและนายกฯ ยิ่งลักษณ์เคลื่อนไหวไม่ถนัด แต่คดีนี้มีข้อเท็จจริง ที่ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ ทั้งยังจะส่งผลสะเทือนไปยังคนใหญ่คนโตอื่น

เรื่องนี้ นายวัฒนา เมืองสุข ได้สรุปไว้สั้นๆ ทำให้พอเข้าใจได้ดังนี้

เดือนธันวาคม 2546 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อนุมัติเงินกู้จำนวน 9,900 ล้านบาทให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ซึ่ง คตส. เห็นว่าเป็นความผิดจึงได้มีการดำเนินคดีและศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้อง เงินจำนวน 9,900 ล้านบาทจึงถือเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดและถูกโยงมาเกี่ยวข้องกับโอ๊คหรือพานทองแท้ โดย นายรัชดา กฤษดาธานนท์ ซึ่งเป็นเพื่อนมีความประสงค์จะร่วมลงทุนทำธุรกิจนำเข้ารถสปอร์ต

ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2547 นายรัชดาได้นำเช็คของบิดาคือนายวิชัย มามอบให้โอ๊คเพื่อร่วมลงทุนจำนวน 10 ล้านบาท

แต่เนื่องจากการนำเข้ารถมีขั้นตอนยุ่งยากมาก ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงยกเลิก โอ๊คจึงได้จ่ายเช็ค 10 ล้านบาท คืนให้นายวิชัยไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2548

คตส. เห็นว่าเงินจำนวน 10 ล้านบาทเป็นสินบนที่จ่ายตอบแทนการอนุมัติเงินกู้จึงถือเป็นการรับของโจร

อีกทั้งการจ่ายเช็คยังถือเป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของเงินจำนวน 9,900 ล้านบาท จึงเป็นความผิดฐานฟอกเงินอีก

แต่ผมเห็นว่าโอ๊คไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด เนื่องจาก

(1) หากเป็นสินบนหรือฟอกเงิน เหตุใดจึงเพิ่งมาจ่ายหลังจากได้รับอนุมัติเงินกู้ถึง 6 เดือน

(2) สินบนหรือฟอกเงินเป็นธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ไม่มีใครรับเงินเป็นเช็คให้มีหลักฐานและไม่มีเหตุผลที่โอ๊คต้องจ่ายคืน

(3) เวลาที่โอ๊คจ่ายคืนในเดือนพฤษภาคม 2548 เป็นช่วงที่นายกฯ ทักษิณอยู่ในอำนาจและเป็นการคืนเอง ไม่ได้คืนเพราะมีการตรวจสอบ

(4) การลงทุนและการจ่ายคืนทำเป็นเช็คเพื่อต้องการให้มีหลักฐาน

(5) เงินจำนวน 10 ล้านบาท เท่ากับ 0.1% ของ 9,900 ล้านบาท หากเป็นสินบนหรือฟอกเงินถือว่าน้อยมาก ไม่สมเหตุสมผล ทั้งยังจ่ายคืนไปแล้ว จึงไม่มีทางเป็นสินบนหรือฟอกเงินได้เลย

(6) เงินจากบัญชีของนายวิชัย ยังถูกจ่ายให้อีกหลายบุคคลและหลายองค์กร มีทั้งที่เป็นทหารระดับนายพลรวมถึงยังบริจาคให้กับมูลนิธิรัฐบุรุษ เหตุใดจึงเลือกดำเนินคดีเพียงโอ๊คคนเดียว

เรื่องนี้ถ้าว่าไปตามพยานหลักฐานไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะไม่เป็นคดีมาแต่แรก แต่เมื่อเป็นการเมืองทั้งยังเกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจ คดีของโอ๊คจึงน่าเป็นห่วงและไม่แปลกที่จะเป็นชินวัตรรายล่าสุดที่ตกเป็นเหยื่อ

วัฒนา เมืองสุข

แต่ที่น่าสนใจ และน่ากลัวมากกว่าคือ หนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมของพันตำรวจโทนายหนึ่งที่เป็นรองอธิบดี DSI ถูกย้ายออกจากตำแหน่ง ไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯ ซึ่งถูกเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย

ได้เล่าถึงสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับในการทำคดี นายพานทองแท้ ชินวัตร ให้เป็นไปตามธงของผู้มีอำนาจ ซึ่งมีรายละเอียดว่าใครเสนอให้ทำอะไร โดยมุ่งหวังให้แจ้งข้อกล่าวหาไปก่อน แล้วให้ผู้ถูกกล่าวหาไปหาทางแก้เอง เพราะเมืองไทยเป็นระบบกล่าวหา แต่เพราะเขากลัวจะถูกฟ้องกลับ เมื่อไม่ทำก็โดนย้าย อ่านแล้วก็นึกสงสารชาวบ้าน เพราะขนาดคนที่มีกำลังสู้ยังโดน ชาวบ้านธรรมดาคงลำบาก

ส่วน พ.ต.ท. คนนี้ ร้องเรียนไปตั้งแต่ปี 2559 จนถึงบัดนี้ยังเงียบ ต้องช่วยกันจับตาดูว่า ขอความเป็นธรรมแล้วจะได้อะไรตอบแทน

แต่จากข่าวสารที่รู้มาเรื่องเช็คของพานทองแท้แก้ได้ แต่คนอื่นๆ ตำแหน่งใหญ่โตที่รับเช็คไปจะแก้อย่างไร

บางกลุ่มจึงวิเคราะห์ว่าคนเล่นเรื่องนี้เพื่อหวังผลสองอย่าง

เอาไว้ขู่ตระกูลชินวัตร ไม่ให้เคลื่อนไหว

และทำให้ผลเสียไปตกกับผู้ที่กลุ่มการเมืองอื่น เพราะถ้ายิ่งสอบก็จะยิ่งบาน

 

ความยุติธรรมเปรียบเทียบ

มองเกมจากอดีตถึงปัจจุบันทำให้มองเห็นว่า ตระกูลชินวัตรและกลุ่มเพื่อไทยยังจะต้องถูกเล่นงานอีกหลายดอก และไม่มีทางได้เปรียบในเกมแบบนี้

เมื่อเปรียบเทียบคดีกับกลุ่มอื่นเรื่องอื่นจะพบว่ามีความแตกต่างกันมาก

เช่น คดีโรงพัก 396 แห่งที่สร้างไม่เสร็จ ตอนนี้คดีก็ยังไปไม่ถึงไหน

และเร็วๆ นี้คุณสุเทพขอให้เปลี่ยนตัวอนุกรรมการไต่สวน คุณวิชา มหาคุณ สุดท้าย ป.ป.ช. ก็ยกเลิกอนุกรรมการชุดนี้

หรือเมื่อเทียบกับการร้องเรียนของเจ้าของโกดัง เจ้าของโรงสี เซอร์เวย์เยอร์ นักการเมืองฝ่ายเพื่อไทยที่คัดค้านการนำเอาข้าวดีไปขายเป็นข้าวเน่า ก็ไม่มีผลอะไร ทางรัฐบาลก็ไม่ยอมให้ตรวจข้าวทั้งๆ ที่ไม่ใช่ขั้นตอนยากอะไรแค่เปิดกระสอบออกมาก็รู้แล้วว่าข้าวดีข้าวเน่าเป็นอย่างไร นำไปหุงกินดูก็ได้ เรื่องแบบนี้ชาวบ้านทั้งเมืองก็พอมองออก เมื่อเปิดกระสอบออกมาความจริงจะต้องปรากฏ

ข้าวราคากิโลละ 15 บาทจะมาขาย 5 บาทได้อย่างไร

แต่เรื่องนี้ในอนาคตจะต้องเป็นคดี ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจะหนีไม่รอดแน่

ดูตัวอย่างคดี ขายข้าวจีทูจี ตามข้อหาบอกว่าขายต่ำกว่าราคาตลาดเพราะขายเพียงกิโลละ 10 บาททำให้เกิดความเสียหาย คนรับผิดชอบต้องติดคุก 30-40 ปีแล้ว

ถ้าเอาข้าวดีมาขายเป็นข้าวเน่าเหลือเพียงแค่กิโลละ 5 บาท มิต้องติดคุกกันเป็นร้อยปีเลยหรือ

การสกัดตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย คงจะมีตามมาอีกก่อนที่จะมีการเลือกตั้งคดีที่ตกค้างอยู่ของคนที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมา แม้ไม่มีการตัดสินแต่จะยกขึ้นมาเสียบไว้ให้เคลื่อนไหวไม่ถนัด แต่ถ้าคดีไหนตัดสินแล้วให้ไปอยู่ในคุกได้ ก็จะตัดสิน แกนนำ นปช. แกนนำพรรคและคนในตระกูลชินวัตรจึงต้องตั้งรับให้ดี และต้องคิดวิธีที่จะดิ้นหลุดจากวงล้อมให้ได้

นี่คือการตามล้างตามล่า ไม่ใช่ปรองดอง สิ้นเดือนตุลาคมนี้สถานการณ์น่าจะชัดเจน

ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยน ที่ลำบากคือประชาชน ความหวังที่จะฟื้นฟูประเทศ คงจะยากและนาน