รอยเท้า ‘ทหารการเมือง’/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

รอยเท้า ‘ทหารการเมือง’

 

จําได้ว่าตอนน้ำท่วมปลายปีที่แล้ว มีนักการเมืองคนหนึ่งพร้อมคณะเดินลุยน้ำสูงถึงหน้าอกไปแจกถุงยังชีพแก่ชาวบ้านผู้ประสบภัยที่อยุธยา

มีคนเหม็นขี้หน้าสบถ ทุด! สอพลอ

จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่โกงกิน ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น การสอพลอประชาชนของนักการเมืองก็ไม่มีข้อไหนที่ควรรังเกียจ

ข้าราชการซะอีก มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย มีหน้าที่ให้ความยุติธรรม หรือมีหน้าที่ป้องกันประเทศ ถ้าสอพลอผู้มีอำนาจเพียงเพื่อโอกาสเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่-น่ารังเกียจ

แต่ในแวดวงราชการไทยก็สอพลอกันจนคุ้นชิน อวยกันสุดลิ่มจนไม่รู้ผิดถูก จึงละเมิดกฎหมายอย่างอุกอาจย่ามใจ เป็นอุปสรรคในการพัฒนาหน่วยงานและประเทศชาติ

ไม่น้อยกว่าครึ่งศตวรรษที่ “ปืน” กลายเป็นคำสั่ง และ “รถถัง” ก็กลายเป็นรัฏฐาธิปัตย์!

 

ก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ไม่มีสภาพแวดล้อมหรือเงื่อนไขทางการเมืองใดเลยที่ชี้ว่าประเทศถึงทางตัน

ทุกจังหวะก้าวถูกสร้างขึ้น

บนเส้นทางแห่งอำนาจที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพวกเดินอยู่วันนี้จึงไม่ใช่การพลัดหลง แต่จงใจ

เช่นเดียวกับ การก่อรัฐประหารทุกๆ ครั้งตั้งแต่ 16 กันยายน 2500 สมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา วาทกรรมยังไม่เคยเปลี่ยน นักการเมืองเลว นักการเมืองโกง ต้องกวาดล้าง ต้องปฏิรูป

“ตัวแบบ” การปฏิรูปที่ใช้กันมากว่าครึ่งศตวรรษก็คือการที่ข้าราชการประจำเข้าควบคุมทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ

“เปรม ติณสูลานนท์” ก็เติบโตมาทางนั้น

ได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ในปี 2502 พอปี 2511 ก็เป็น “สมาชิกวุฒิสภา” ปี 2515 เป็น “สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ”

กระทั่ง “ถนอม-ประภาส-ณรงค์” สะดุดขาตัวเองนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บทบาททหารการเมืองถึงได้เพลาลง

 

ชั่วอึดใจก็เกิด “6 ตุลาคม 2519” ให้กำเนิด “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521” ที่อธิปไตยของปวงชนถูกยึดเอาไปเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้ง “ข้าราชการประจำ” ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ทหารพาเหรดกันเป็นวุฒิสมาชิก มีสิทธิยกมือเลือกนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีก็ไม่ต้องมาจากสภาผู้แทนฯ

ด้วยรัฐธรรมนูญ 2521 “เปรม ติณสูลานนท์” อดีต ผบ.ทบ. อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายทหารผู้มากด้วยประสบการณ์ทางการเมืองจึงขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมิพักต้องรัฐประหาร

พล.อ.เปรมพูดน้อย ไม่อวดโอ่โอหัง ไม่เสียงดังกระโชกโฮกฮาก ไม่หยาบคายไร้วัฒนธรรม เป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปีกับ 5 เดือนก็โบกมือลาด้วยคำว่า “พอ”

นั่นคือปี พ.ศ.2531 ซึ่งการเมืองไทยไม่ควรจะหวนกลับ!!

ทหารควรเป็นทหารอาชีพ

ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ล้มล้างการปกครอง ไม่ฉีกรัฐธรรมนูญ

แต่ 3 ปีให้หลังเท่านั้น 23 กุมภาพันธ์ 2534 “รสช.” รัฐประหารโค่นรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ และด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือของกลุ่มผู้นำจึงพยายามวางแผนปูทางสืบทอดอำนาจต่อกระทั่งนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด “พฤษภาทมิฬ 2535”

ครั้งนั้นกองทัพบกเสียหายยับเยิน เสื่อมทรามจนไม่อาจทานกระแสสังคมต้องถอยกลับเข้ากรมกองอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว

 

ทิ้งช่วงแค่ 14 ปีก็เกิด “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549” ที่ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะต้องบังเรื่องราวเอาไว้จนตัวตาย

และภายใต้คำอวดอ้างว่า “เพื่อไม่ให้เสียของ” แก๊ง 3 ป.ก็ก่อรัฐประหารซ้ำในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

ถ้านับจากรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา กว่าครึ่งศตวรรษเข้าไปแล้วที่การเมืองไทยวกวนอยู่กับการรัฐประหารของทหารในกองทัพ

ไม่ได้มีเงื่อนไขสลับซับซ้อนอันใดที่จะเป็นมูลเหตุ

ทั้งหมดที่นักรัฐประหารทุกคณะประกาศล้วนเป็นข้ออ้างหรือวาทกรรมที่ประดิษฐ์ขึ้นทั้งสิ้น

ความจริงก็คือความทะเยอทะยานอยากมีอำนาจโดยมีทั้งนายทุน นักการเมือง และข้าราชการชั้นสูงสนับสนุน

กระนั้นถ้าจะเทียบ “ประยุทธ์” กับ “เปรม” แล้วจัดได้ว่าต่างชั้นกันทั้งมันสมองและประสบการณ์

ประยุทธ์ไม่รู้หรอกประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรม

รู้แค่ต้องมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ป้องปราม “คนรู้ทัน” กับ “คนไม่ทน”

 

8ปีของประยุทธ์ไม่ใช่ความบังเอิญ

จำกันได้หรือไม่ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” อุตส่าห์ตั้งใจชงให้ คสช. แต่จุดจบถูกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คว่ำจน “บวรศักดิ์” ต้องออกมาบอกว่า “เขาอยากอยู่ยาว”

“มีชัย ฤชุพันธุ์” บรรจงเขียนใหม่จนสำเร็จออกมาเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ทำคลอดกันท่ามกลางบรรยากาศควบคุมสื่อ กับใช้กลไกรัฐคุกคามคนเห็นต่าง กวาดล้างจับกุมผู้ชุมนุมรณรงค์คัดค้าน

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ให้กำเนิด 250 ส.ว.ที่ “หัวหน้า คสช.” กับเครือข่าย “เลือกมากับมือ”

ประเทศไทยถอยหลังไปไกลถึงปี 2521 ที่ “วุฒิสมาชิก” มีสิทธิมีอำนาจเลือก “นายกรัฐมนตรี”

ถึงแม้ผลจากการเลือกตั้ง 16.4 ล้านเสียง แสดงเจตจำนงชัด “ไม่เอา คสช.” อีก 8.4 ล้านเสียงสนับสนุน คสช. แต่ในทางการเมืองไม่ต้องมียางอาย กฎกติกาก็เขียนกันเอง ระบบเลือกตั้งสร้างกันขึ้นมาเอง คนคุมกฎก็ตั้งกันเอง

“คสช.” ต้องไปต่อ

พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ต้องนั่งมองตาปริบๆ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถอยให้พรรคการเมืองเกิดใหม่อย่าง “พลังประชารัฐ” เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลแล้วอุ้ม “ประยุทธ์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ไม่มีอะไรจะต้องอาย!

 

จากที่เคยว่า “ขอเวลาไม่นาน” ลากยาวมา 8 ปี ถึงวันนี้ “ทุกข์” ถ้วนหน้า “จน” ราบคาบ!

8 ปีมานี้ ประเทศเสียโอกาส เยาวชนคนหนุ่มสาวถูกปิดกั้นภูมิปัญญา สิทธิเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกถูกแช่แข็ง

“อำนาจ” นั้นหอมและหวาน ได้มาได้มีแล้วติดใจ ทั้งๆ ที่การทำรัฐประหารผิดกฎหมายร้ายแรง โทษทัณฑ์ถึงขั้นประหารชีวิต แต่ก็ยังคงมีทหารบางกลุ่มกล้าลงมือเพราะเชื่อว่าทำผิดแล้วนิรโทษกรรมล้างความผิดให้กับตัวเองและพรรคพวกได้

มีที่ไหน ที่คนทำผิดฉีกกฎแล้วเขียนกติกาใหม่ได้รับการเชิดชู

“อำนาจ” ทำให้คนจึงจำนน อำนาจเป็นที่มาของทุกสิ่ง แม้แต่กับสิ่งเล็กๆ อย่าง “เมมเบอร์สนามกอล์ฟหรู” ยังได้มาครอบครอง ไม่ต้องใช้เงินซื้อหา!?!!