ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 เมษายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | โล่เงิน |
เผยแพร่ |
โล่เงิน
จากล้างบาปปราบอลัชชี
สู่ปฏิบัติการ”บก.ป.”
ล่าศิษย์”สมเด็จพระวันรัต”
ยักยอยทรัพย์
นับตั้งแต่สิ้นสุดปฏิบัติการ “ล้างบาปปราบอลัชชี” บุกรวบ “เจ้าคุณแจ๊ค” พระสิทธิวรนายก เจ้าอาวาสวัดเขาทุเรียน และรองเจ้าคณะจังหวัดนครนายก มืออมเงินบูรณะซ่อมแซม 12 วัดใน จ.นครนายก เป็นจำนวนถึง 110 ล้านบาท ในทางคดีพนักงานสอบสวนก็ทำสำนวนรวบรวมพยานหลักฐานส่งฟ้องศาล ขณะที่แวดวงดงขมิ้นเข้าสู่ความสงบสุขไปได้ระยะหนึ่ง
แต่ผ่านมาไม่กี่เดือน ความอื้อฉาวไม่ชอบมาพากลก็อุบัติขึ้นอีกครั้ง
เมื่อคณะกรรมการวัดบวรนิเวศวิหาร พบว่ามีผู้ยักยอกเงินของวัดบวรนิเวศวิหารและวัดสาขา ไปใช้ส่วนตัวจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับการมรณภาพสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ 15 มีนาคม เพียงสัปดาห์เศษ
งานนี้ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงมอบหมายให้กองบังคับการปราบปราม เข้าตรวจสอบเรื่องดังกล่าวทันที
“ชาวนากับงูเห่า” กลายเป็นคำที่อธิบายเหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อชุดสืบสวนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าผู้ที่ทำการยักยอกเงินดังกล่าว กลับไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็น “นายเนย” อดีตเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ กองโครงการธุรกิจ 2 ฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ลูกศิษย์คนสนิทของสมเด็จพระวันรัต
นอกจากนี้ นายเนยยังเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร ที่มีหน้าที่หน้าที่การดูแลรักษา และจัดการทรัพย์สินของวัดตามที่เจ้าอาวาสมอบหมาย ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่สมเด็จพระวันรัตไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง
ใช้เวลาไม่นาน ตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายเนยได้ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อ 23 มีนาคม โดยนายเนยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าเงินดังกล่าวสมเด็จพระวันรัตมอบให้ไว้ใช้จ่ายส่วนตัว
แต่หลักฐานที่มีชัดเจนว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด เพราะเป็นเงินที่ถูกโอนจากบัญชีวัดมาเข้าบัญชีส่วนตัวของนายเนย
เบื้องต้นตำรวจจึงแจ้งข้อหานายเนย 4 ข้อหา ได้แก่ ฉ้อโกง, ลักทรัพย์, ปลอมเอกสารสิทธิ์และใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม และฟอกเงิน
สําหรับการยักยอกเงินในครั้งนี้ เริ่มขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2564 นายเนยได้ใช้อุบายให้สมเด็จพระวันรัต ซึ่งรักษาตัวโรคมะเร็งอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ลงลายมือชื่อในใบถอนเงิน แล้วนำมาเขียนจำนวนเงินตามที่ตนเองต้องการ
จากนั้นนำไปถอนเงินออกจากบัญชีของวัดชิรธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา วัดสาขาของวัดบวรนิเวศวิหาร และยังใช้กลวิธีเดิม แต่ให้ผู้ใกล้ชิดของสมเด็จพระวันรัตอีกคนหนึ่งเป็นคนถอนเงิน และให้ซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายให้ตนเอง เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม 2565
กระทั่งวัดวชิรธรรมารามตรวจพบการทุจริต จึงร้องทุกข์ต่อกองปราบฯ เมื่อ 22 มีนาคม
ทางวัดบวรนิเวศวิหารเชื่อว่านายเนยจะยักยอกทรัพย์สินของวัดเช่นกัน จึงทำการตรวจสอบทรัพย์สินของสมเด็จพระวันรัต
พบว่านายเนยได้ทำการยักยอกเงินวัดวชิรธรรมารามไปประมาณ 80 ล้านบาท และวัดบวรนิเวศวิหารอีก 110 ล้านบาท รวม 190 ล้านบาท
เงินจำนวนนี้ นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ชี้แจงแล้วว่าเป็นทรัพย์สินของวัด ใช้สำหรับการบูรณะก่อสร้าง และกิจการของวัด ที่สมเด็จพระวันรัตดูแลอยู่ ซึ่งนายเนยได้นำไปใช้จ่ายส่วนตัว และแปลงให้เป็นทรัพย์สินมีค่า เช่น อสังหาริมทรัพย์, กระเป๋าแบรนด์เนม, พระเครื่องทองคำ และรถยนต์หรูยี่ห้อต่างๆ
โดยเฉพาะรถยนต์หรู เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดไว้ตรวจสอบที่มาที่ไปถึง 9 คันด้วยกัน โดยมีชื่อนายเนยเป็นผู้ครอบครองเพียงไม่กี่คัน ส่วนคันอื่นมีผู้ครอบครองเป็นบุคคลใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ หรือน้อง จึงต้องตรวจสอบด้วยว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนรู้เห็นในการถ่ายเททรัพย์สิน และมีส่วนร่วมกับการยักยอกเงินหรือไม่
จากการสอบปากคำตัวแทนโชว์รูมรถที่นายเนยซื้อรถยนต์เบนท์ลีย์ ทะเบียน ภภ 5 กรุงเทพมหานคร พบว่า ช่วงเวลาที่ติดต่อซื้อรถคันดังกล่าว สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ยักยอกเงินจากทางวัด
อีกทั้งนายเนยยังยกระดับความอู้ฟู่ ด้วยการจะซื้อรถซูเปอร์คาร์ยี่ห้อลัมโบร์กีนี มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท แต่ขณะนั้นยังไม่มีรุ่นที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม เงิน 190 ล้านบาทที่นายเนยยักยอกนั้น เป็นดั่งยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เพราะเมื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติม ก็พบว่านายเนยยังได้ยักยอกเงินวัดสาขาในพื้นที่ จ.ตราด อีก 2 วัด ได้แก่ งบฯ จัดสร้างวัดรัตนวราราม 80 กว่าล้านบาท และงบฯ จัดสร้างโรงเรียนวัดคีรีวิหาร (สมเด็จพระวันรัตอุปถัมป์) อีกกว่า 10 ล้านบาท
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. จึงนำทีมลงพื้นที่ จ.ตราด เพื่อสอบปากคำพระครูกิตติวัฒนคุณ เจ้าอาวาสวัดรัตนวรา และนายสุรศักดิ์ อิงประสาน เจ้าของบริษัท เพชรสยามศิลาตราด จำกัด ผู้ทำบัญชีของวัด เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินไม่พบว่ามีส่วนรู้เห็นกับการยักยอกเงิน
แต่กลับเจอตัวละครใหม่เกิดขึ้น หลังพบว่าเงินของวัดบางส่วนถูกโอนเข้าบัญชีลูกศิษย์สมเด็จพระวันรัตอีกคนหนึ่ง และอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ที่เข้ามาบริหารเงินของวัดทั้ง 2 แห่งอีกด้วย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยังคงสืบสวนสอบสวนต่อให้สิ้นกระแสความ หาตัวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติม รวมถึงยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เพราะไม่ใช่ว่าทุกครั้งจะปิดคดีโดยการจับแล้วจบได้
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ที่ปรากฏเป็นข่าวออกมา ถือว่ากองบังคับการปราบปรามสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว สมแล้วที่เป็น “ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน”