คอฟฟี่เบรก/…เหรียญหลวงปู่ทวด…(5)

คอฟฟี่เบรก/ประภาส อิ่มอารมณ์

…เหรียญหลวงปู่ทวด…(5)

หัวหกก้นขวิด ตะลุยกันทั่วอิตาลี และหลายประเทศแถวยุโรป จนหาที่ไปใหม่ไม่พบ แต่ดูเหมือนหลวงปู่จะชอบการเดินทางและยังไม่เบื่อ…

เพราะตั้งแต่มีท่านคล้องติดตัวมานี้ มีแต่การเปลี่ยนแปลงโยกย้าย จนรู้สึกถึงความผิดสังเกตนี้ได้…

นี่ก็กำลังจะระหกระเหินโจนทะยานข้ามทวีปกันเลยทีเดียว…

เพราะมีเพื่อนซี้สมัยอยู่ศิลปากรด้วยกัน จดหมายแจ้งว่าได้แต่งงานกับคู่หมั้นคู่หมาย ซึ่งก่อนที่จะลงเอยกันได้เกือบจะถูก มอคอปอดอ (หมาคาบไปแด๊กซ์) และทั้งคู่พอมีญาติอยู่แอลเอจึงเดินทางมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นั่น ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นการดื่มน้ำเมามากกว่า เพราะทั้งคู่อยู่ก๊วนนั่งร้านไอ้เนี้ยวหน้าลานหลังเลิกเรียนด้วยกันมาตลอด

แฟนสาวของมันปกติเป็นคนชอบคุยชอบเจรจา และหากยามที่นางเกิดอารมณ์ขบขันขึ้นมาเมื่อใด ก็จะส่งเสียงหัวเราะดังลั่น ไม่เกรงอกเกรงใจใคร ทำตัวเสมือนอ่านหนังสือขายหัวเราะในห้องน้ำส่วนตัวซะยังงั้นแหละ

ตอนนี้อยู่ที่แอลเอ มันเขียนรูปขาย และรวมหัวกันสนุกสนานไปกับกลุ่มเดิมๆ ซึ่งย้ายที่กินเหล้าจากเมืองไทยมาอยู่ที่อเมริกา

มันรู้ว่าเราก็เขียนรูปขาย จึงขอให้ส่งรูปเขียนไปจะช่วยขายให้ ซึ่งมันก็ขายได้จริงๆ พร้อมส่งเงินกลับมาครบถูกต้องไม่ตกหล่นแม้สักเพนนีเดียว

พร้อมกันนั้นเพื่อนหลายคนก็ร่วมกันเขียนในจดหมายชักชวนให้บินไปอยู่ด้วยกัน…บ่อยๆ เข้ามันก็ทำให้เกิดอาการเอนเอียงได้เหมือนกัน

แต่ก็ต้องใช้เวลาทบทวนและตรึกตรองกับการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ เพราะมันจะเป็นการตั้งต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้งของการเปลี่ยนเส้นทางเดินของชีวิต

และถ้าไม่ต้องดิ้นรนไปหาความเสี่ยงข้างหน้าที่ยังไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือก้อยกันยังไง ปักหลักที่อิตาลีต่อไปอีกก็นับว่าขณะนี้มีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่องการศึกษาปัดทิ้งไปได้เพราะได้ทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของการมาอยู่ประเทศอิตาลีสิ้นสุดลงแล้ว

สถานภาพยังโสดไม่มีพันธะผูกมัด การงานที่ทำอยู่แม้จะมีรายได้ประจำหรือไม่ได้สิทธิเท่าคนอิตาเลียนก็จริง แต่ไม่ต้องเหนื่อยใจกังวลกับการขาดปัจจัยในการดำรงชีวิต

เหมือนนักเรียนศิลปะคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งได้ทุนหลวงมาเรียนหรือดูงาน พอจบก็ต้องรีบเผ่นกลับบ้านเพราะมีแต่รายจ่าย แม้จะกระเบียดกระเสียรตามอัตราที่เขากำหนดมาก็แทบอยู่ไม่ได้

ตาชั่งวัดน้ำหนักการตัดสินใจของเราเริ่มถ่วงเอียงไปทางอเมริกามากกว่าอิตาลีเพิ่มขึ้นแล้ว

ถึงจะมีชีวิตอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ มีทั้งผู้หญิงและเพื่อนอิตาเลียนพอสมควร แต่ก็มีความรู้สึกว่าคนเหล่านั้นเป็นแค่คนรู้จัก แท้จริงแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องมาใช้เวลาทั้งชีวิตไว้ที่นี่หรือ

มันน่าจะมีอะไรในโลกกว้างใบนี้ที่เราน่าจะได้มีโอกาสได้ออกไปสัมผัสมันดูบ้าง

ประสบการณ์ที่ต้องต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ในต่างแดนโดยลำพังได้สร้างความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นตัวเองว่า สามารถเอาตัวรอดได้กับทุกสถานการณ์ และสำหรับคนหนุ่มที่อายุเพิ่งจะก้าวขึ้นเลขสาม

การมองหาอนาคตที่มั่นคงสำหรับความพร้อมหากต้องการมีครอบครัว ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องแสวงหาให้ได้อย่างรวดเร็ว

จะมาทิ้งโอกาสใช้เวลาเชื่องช้าอยู่ที่อิตาลีนี้คงจะไม่สัมฤทธิผลได้อย่างแน่นอน เพราะฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศนี้ก็อยู่ในระดับง่อนแง่นอย่างไม่น่าไว้วางใจ…

ปัญหามีอยู่ว่า หลวงปู่อยากไปด้วยหรือไม่ ก็ขอท่านให้สร้างเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการยับยั้งเสียก่อน…

และทุกอย่าง…ยังนิ่งเงียบเหมือนปกติ…เท่ากับเป็นอาณัติสัญญาณที่ดีจากหลวงปู่ว่าท่านได้เปิดทางสะดวกให้แล้ว

ดังนั้น…อันดับแรกเป็นการขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกา และลักเซมเบิร์กประเทศเล็กๆ ที่จะต้องไปขึ้นเครื่องบินเหมาลำราคาถูกที่นั่น

ส่วนที่พักหนึ่งคืนสำหรับการรอเวลาของเครื่องออก ได้จอง Hostel ที่ค้างแรมของพวกนักศึกษา คนหนุ่มสาวที่ต้องการแค่ซุกหัวนอน

ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะนอนร่วมกันหลายเตียง ใช้ห้องน้ำร่วมกัน

เราเป็นสมาชิกของเครือข่าย Hostel ตั้งแต่อยู่ในอิตาลีและใช้บริการนี้มาสมัยออกไปท่องเที่ยวจนทั่วยุโรปมา จึงได้สิทธิขอจองห้องเตียงเดี่ยวที่แม้มีเนื้อที่แคบๆ ยังดีกว่าไปทรมานกับเสียงกรนของพวกฝรั่งซึ่งรู้ดีว่ามัน “โคตะระ” กวนประสาทขนาดไหน

เมื่อเดินทางออกจากโรมคราวนี้ ไม่ลืมที่จะนิมนต์หลวงปู่สวมคอ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งที่ไปเยอรมนีแล้วลืมท่านไว้…ดีนะที่ท่านไม่โกรธ และบันดาลใจให้ต้องตามกลับมารับท่านอีก

จากยุโรปมาอเมริกา เส้นทางที่ใกล้ที่สุดคือ ข้ามมหาสมุทรมาที่นิวยอร์ก ไหนๆ ก็เข้ามาอเมริกาทั้งทีขอตะลุยมันให้ทั่ว จึงนัดญาติห่างๆ ซึ่งอยู่ที่นิวยอร์กให้มารับ และจะขออาศัยเขาอยู่ดูลาดเลาก่อนเดินทางล่องไปเรื่อยๆ จนถึงฝั่งตะวันตกที่แอลเอ

เครื่องเหมาลำร่อนลงแตะพื้นสนามบิน จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ตอนสายๆ ของวันที่เท่าใดเรารู้สึกมึนงงไปหมด เพราะเครื่องเที่ยวที่มานี้มันบินอ้อมโลก รับส่งผู้โดยสารยังกับรถไฟหวานเย็นของเมืองไทยที่จอดมันทุกสถานี

บางครั้งแอร์โฮสเตสเพิ่งเอาอาหารเย็นมาเสิร์ฟไม่ทันไร พอรับผู้โดยสารชุดใหม่ขึ้นมาเติมที่นั่งที่ว่าง นางก็เอาอาหารเย็นมาเสิร์ฟใหม่อีกรอบ คงน่าจะเป็นการที่เวลาเดินทางถอยหลัง

ดังนั้น ที่รู้สึกงงก็คงเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างของเวลานั่นเอง

จากชีวิตเรียบง่ายและเป็นอิสระที่ประเทศอิตาลี จู่ๆ เราต้องมาพบกับความเปลี่ยนแปลงที่มีแต่การเร่งรีบ ขาดความเอื้ออาทร หรือวิสาสะกัน ด้วยการทักทายและร่ำลาตามวัฒนธรรมแบบยุโรป ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่าได้กลายเป็นหนึ่งกลไกเล็กๆ ในมหานครอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งต้องตื่นแต่เช้าแล้วกลายเป็นหุ่นยนต์เคลื่อนตัวไปทำอะไรซ้ำๆ ซากๆ จนเริ่มเกิดความเบื่อหน่าย

สิ่งแรกที่เยียวยาทำให้จิตวิญญาณใกล้เคียงตอนอยู่ที่อิตาลี คือติดตามการแสดงงานศิลปะที่หมุนเวียนมาแสดงที่มิวเซียมศิลปะสมัยใหม่ “กุกเก้นไฮม์” และพิพิธภัณฑ์ปรีฮีสเตอริก ที่จัดทำด้วยมืออาชีพระดับชั้นครู

ส่วนทางด้านบันเทิงเริงรมย์มีโปรแกรมฉายภาพยนตร์เรื่องดังๆ และที่ขึ้นชื่อลือชา คือ ละครบรอดเวย์ที่มีฉากสีเสียงที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ สิ่งเหล่านี้พอหล่อเลี้ยงใจให้มีความรู้สึกคุณค่าของมหานครแห่งนี้ขึ้นมาได้บ้าง

มีอยู่หนึ่งเหตุการณ์ และจุดหักเหที่ทำให้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนไป เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเล่าให้บางคนฟังพวกเขาต่างส่ายหัวไม่ค่อยสนิทใจนัก เพราะโอกาสมีเพียงหนึ่งในล้านหรือมากกว่านั้นเสียอีก

แต่สำหรับกับพวกศิลปากรและมีชื่อบุคคลมาอ้างอิง ทุกคนคล้อยตามที่เราเล่าให้ฟังทั้งสิ้น…

แต่สิ่งที่ไม่ยอมหลุดปากออกไป เพราะกลัวไม่มีใครเชื่อ ก็คือ…เราว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่มีส่วนด้วยอย่างแน่นอน

เรื่องมันมีอยู่ว่า บังเอิญไปหลงในสถานีรถใต้ดินที่ไทมส์ สแควร์ ซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อรถไฟใต้ดินสายต่างๆ ได้มากที่สุด พยายามเรียบเรียงความทรงจำเพื่อจะหาทางกลับที่พักให้ได้อย่างไรก็ไม่บังเกิดผล ถามคนอื่นเอาดีกว่าเผื่อเขาจะให้ความกระจ่างได้บ้าง

เหลือบดูผู้คนส่วนใหญ่เป็นฝรั่งผิวขาว ผิวคล้ำและถึงดำบ้าง ไม่รู้จะเลือกใครดี ตาเจ้ากรรมก็ดลใจให้บังเอิญเห็นคนหนึ่งยืนหันหลัง ผมตรงเหยียดดำแบบคนเอเชีย เอาคนนี้ละวะ จึงเดินปรี่เข้าสะกิดหลัง เมื่อหมอนั้นหันกลับมา ทั้งตัวเราและคนที่หันหน้ามาต่างคนต่างชี้หน้าด้วยอาการตกใจระคนกัน

“เฮ้ย! พี่ ไหนมีคนบอกว่าอยู่อิตาลีไง ไหงมาอยู่ที่นี่ได้”

“แล้วนายล่ะ มาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

แล้วต่างฝ่ายต่างก็เล่าเรื่องของแต่ละคนแลกเปลี่ยนกัน เกียจ หรือ สมเกียรติ เป็นรุ่นน้องคณะมัณฑนศิลป์หลายปี แต่รู้จักมักคุ้นกันเพราะเขาเป็นมือกลองเล่นดนตรีกับวงรุ่นราวคราวเดียวกัน

พอเรียนจบ พวกนักดนตรีที่เดินทางมาอยู่ที่นิวยอร์กเกือบครบวงชักชวนให้มาเรียนต่อ เขาจึงมาได้ปีกว่าแล้ว กลางคืนเขาไม่ได้เล่นดนตรี แต่จะทำงานที่โบว์ลิ่ง อยู่หลังเลนคอยแก้ไขเครื่องตั้งพินให้ลูกค้า

เขาเช่าห้องเล็กๆ เล็กกว่าที่เราอยู่เสียอีก แถมมีน้องชายมาอยู่ด้วยอีกคน จึงออกตัวอย่างสุภาพทำนองอยากให้เราไปอยู่ด้วยแต่กลัวไม่สะดวก ตอนนี้เขากำลังจะต้องไปเรียน และขอนัดพบพรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้เพราะไม่มีชั่วโมงเรียน พร้อมเขียนบอกเส้นทางการกลับที่พักซึ่งเรามาหลงอยู่ พร้อมด้วยสถานที่ที่จะนัดพบกันพรุ่งนี้ และย้ำให้มาให้ได้เพราะเขามีทางออกให้ลางๆ ในหัวแล้ว

มาตามลุ้นดูกันต่อไปว่า หลวงปู่ทวดจะสำแดงอะไรให้เห็นกันอีกในวันรุ่งขึ้น…ตามที่นัดหมายกันไว้