ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ศึกยูเครน สะท้อนความล้มเหลวของรัฐรัสเซีย

เดือนสองของสงครามที่รัสเซียรุกรานยูเครนเริ่มต้นอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดเลย

เพราะขณะที่รัสเซียบุกยูเครนแบบสายฟ้าแลบในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ โดยเชื่อว่าจะยึดเมืองหลวงได้ใน 2-15 วัน รัสเซียในสิ้นเดือนมีนาคมกลับระบุว่าปฏิบัติการบุกยูเครนเสร็จสิ้นแล้ว ต่อให้ยังยึดเมืองหลวงไม่ได้ก็ตาม

คำประกาศนี้ถูกตีความว่ารัสเซียเตรียมยุติสงคราม เพราะนอกจากรัสเซียจะบอกว่าปฏิบัติการบรรลุเป้าหมายโดยสมบูรณ์ รัสเซียยังบอกต่อว่าภารกิจจากนี้คือการปกป้องดินแดนภาคตะวันออกให้เป็นรัฐเอกราชตามที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชื้อชาติรัสเซียต้องการ

ซึ่งเท่ากับไม่มีเรื่องยึดประเทศต่อไป

ล่าสุด ในการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ตุรกีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม รัสเซียระบุว่าจะลดปฏิบัติการ “ขั้นพื้นฐาน” รอบกรุงเคียฟและเมืองทางตอนเหนือของยูเครน

แต่ยังไม่มีคำประกาศว่าจะลดการโจมตีทางทหารในพื้นที่ทางใต้และตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งใกล้เคียงพื้นที่ของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน

แน่นอนว่าการเจรจาที่มีความคืบหน้าเป็นเรื่องดี และถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีใครพูดเรื่องการหยุดยิงจริงๆ แต่การเจรจาก็ถือว่าเป็นบันไดสู่การหยุดยิงที่ดีกว่าวิธีอี่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากยูเครนประกาศถอยความต้องการเป็นสมาชิกนาโต้ และเสนอความคิดเรื่องสถานะประเทศที่เป็นกลาง

ปัญหามีอยู่นิดเดียวว่าคำว่า “ลดปฏิบัติการทางทหาร” ของรัสเซียนั้นหมายถึงอะไร

โดยผิวเผินนั้นคำว่า “ลดปฏิบัติการทางทหาร” ชวนให้หมายถึงการถอนทหารหรือลดกำลังพล แต่คำแถลงของรัสเซียเรื่องนี้น่าจะหมายถึงการ “ลดการโจมตี” โดยไม่มีการถอนทหารหรือลดกำลังพล

นั่นหมายความว่ารัสเซียจะดำเนินตามคำประกาศนี้โดยมีทหารเท่าเดิมยิงยูเครนคู่กันไปตลอดเวลา

ปฏิกิริยาของสื่อยูเครนต่อผลการเจรจารอบนี้คือรัสเซียยอมถอยเพราะไม่มีปัญญาตีเมืองหลวงยูเครนแตก และถึงแม้รัสเซียจะเหนือกว่ายูเครนทั้งในแง่อาวุธและกำลังพล โอกาสที่รัสเซียจะไม่มีปัญญาตีเมืองหลวงยูเครนแตกก็อาจเป็นจริงอย่างที่สื่อยูเครนจำนวนมากพูดได้เช่นกัน

กองทัพรัสเซียบุกยูเครนแล้วกว่าหนึ่งเดือน นั่นหมายความว่าทหารรัสเซีย-กรำศึกในพื้นที่ซึ่งไม่คุ้น เคยมาแล้วเดือนเศษๆ ซ้ำยังมีปัญหาเสบียงร่อยหรอและอาวุธขาดอย่างที่สื่อต่างชาติในยูเครนพูดแทบทั้งหมด กำลังพลและอาวุธที่เหนือกว่าจึงอาจเป็นเพียงตัวเลขที่แทบไม่มีความหมายอะไรเลย

แม้การที่ทหารรัสเซียบุกจากชายแดนมาประชิดเมืองหลวงยูเครนจะแสดงชัยชนะของรัสเซีย แต่ยิ่งกองทัพรัสเซียห่างจากชายแดน ความลำบากในการส่งเสบียง, พลังงาน และอาวุธก็ยิ่งมากขึ้น

การที่ยูเครนยันรัสเซียได้เกือบเดือนจึงยิ่งทำให้ทหารรัสเซียเหมือนถูกกักกันในหลุมดำที่ไปไหนไม่ได้เลย

สองสัปดาห์ที่รัสเซียล้อมเมืองหลวงยูเครนคือสองสัปดาห์ที่ผ่านไปโดยไม่มีอะไร การรุกภาคพื้นดินไม่คืบหน้า ขณะที่ยูเครนใช้จรวดต่อต้านรถถังและอากาศยานประสิทธิภาพสูงจากอังกฤษ, สวีเดน, เยอรมนี และสหรัฐ สกัดการโจมตีของรัสเซียได้นานกว่าสองสัปดาห์

สื่อและผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารหลายคนพูดตรงกันว่ารัสเซียจำเป็นต้องสับเปลี่ยนกำลังพล ปัญหาของรัสเซียคือทหารจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ซึ่งหากส่งมายูเครนก็จะสร้างความวุ่นวายหรือความไม่สงบในพื้นที่นั้นได้ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ทหารรัสเซียในพื้นที่จอร์เจียและอาเซอร์ไบจาน

เฉพาะในกรณีอาเซอร์ไบจาน ศึกยูเครนเปิดโอกาสให้กองทัพอาเซอร์ไบจานปะทะกับอาร์เมเนียจนเกิดการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ส่วนรัฐมนตรีกลาโหมก็แถลงให้รัสเซียถอนทหารอาร์เมเนียออกจากอาเซอร์ไบจาน และทั้งหมดนี้คือสัญญาณของความรุนแรงที่จะตามมาในอีกไม่นาน

อาจมีผู้โต้แย้งว่าประเทศใหญ่อย่างรัสเซียมีทรัพยากรเยอะจนไม่ควรมีปัญหาอะไร

แต่อย่าลืมว่าปูตินตัดสินใจทำสงครามยูเครนโดยแทบไม่บอกให้รัฐมนตรีคนไหนรู้ล่วงหน้า

ผลก็คือรัสเซียเข้าสู่สงครามโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมในการใช้ทรัพยากรทั้งหมดในระยะยาว

สําหรับผู้ที่อาจมีคำถามว่าปูตินจะทำสงครามโดยไม่ให้คนในรัฐบาลรู้ได้อย่างไร

คำตอบง่ายๆ คือปูตินไม่ใช่ปูติน แต่ปูตินคือจักรพรรดิของจักรวรรดิที่เป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 23 ปี ซ้ำยังแก้รัฐธรรมนูญให้ตัวเองมีอำนาจนาน 37 ปี กระทั่งปี 2036 จนทำให้ไม่จำเป็นต้องฟังใครเลย

เพื่อให้เห็นภาพยิ่งขึ้น ลองนึกง่ายๆ ว่า คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ แล้ว 8 ปี โดยไม่ฟังทั้งประชาชนและรัฐบาล รัฐมนตรีทุกคนรู้ว่าประยุทธ์คือคนที่เถียงไม่ได้ ถ้าเถียงแล้วจะโกรธจนทุกคนต้องหยุด ปูตินซึ่งผูกขาดประเทศนานกว่าประยุทธ์ถึง 3 เท่าจึงไม่มีทางเห็นความสำคัญของรัฐมนตรีคนอื่นได้เลย

หลักฐานง่ายๆ ที่แสดงว่าปูตินบุกยูเครนโดยไม่พร้อมคือระบบเศรษฐกิจที่พังทันทีที่แทบทั้งโลกคว่ำบาตร การถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก, ค่าเงินที่ไร้ค่า, การลงทุนจากต่างประเทศที่แทบไม่เหลือ ฯลฯ ทำให้เอลวิรา นาบิอุลลินา ผู้ว่าธนาคารกลางรัสเซียตัดสินใจลาออก แม้ปูตินจะไม่อนุมัติก็ตาม

รัสเซียถูกบีบจากเงื่อนไขภายในประเทศให้ต้องปรับแผนการทำสงคราม แต่การที่ปูตินโจมตียูเครนเข้าเดือนที่สองด้วยอาวุธอำมหิตต่างๆ เช่น จรวดความเร็วเหนือเสียง, ระเบิดสุญญากาศ, ฟอสฟอรัสขาว หรือการข่มขู่ว่าจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ ทำให้ไม่มีทางที่คนแบบนี้จะยุติสงครามลงไปจริงๆ

ยิ่งคำนึงว่าปูตินทำสงครามยูเครนโดยยิงพลเรือนด้วยอาวุธที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศต่างๆ ส่วนรัสเซียก็ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

การที่รัสเซียจะยุติสงครามโดยที่ปัญหาทั้งสองข้อไม่ได้รับการแก้ไขนั้นยิ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย

ทันทีที่ตัวแทนรัสเซียประกาศลดการโจมตีทางทหารในการเจรจาที่ตุรกี เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องที่กรุงเคียฟและเมืองอื่นๆ จนการลดการโจมตีทางทหารเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า ไม่ต้องพูดถึงการถอนทหารหรือการหยุดยิงที่ความเป็นไปได้ต่ำเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นรอบกรุงเคียฟหรือที่ไหนก็ตาม

มีโอกาสที่รัสเซียจะอาศัยช่วงเวลานี้จัดทัพใหม่, ลำเลียงยุทธปัจจัยใหม่ๆ รวมทั้งย้ายที่ตั้งทางทหารไปตำแหน่งใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้รัสเซียบุกยึดเมืองหลวงยูเครนได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา เพราะถ้าไม่บุกก็ไม่มีทางจับผู้นำยูเครน และถ้าจับไม่ได้ก็แปลว่าปูตินล้มเหลวในการรุกรานยูเครนโดยสิ้นเชิง

ปูตินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำสงครามต่อไป

แต่ปัญหาคือ ยิ่งทำสงครามเนิ่นนาน ความล้มเหลวของรัสเซียในด้านต่างๆ ก็ยิ่งแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นทุกวัน

เวลากว่าหนึ่งเดือนที่รัสเซียล้มเหลวในการยึดครองยูเครนแสดงให้เห็นความผิดพลาดในการวางแผนของปูติน แต่นอกเหนือจากนั้นคือความอ่อนแอของกองทัพรัสเซียที่มีปัญหาอาวุธเก่า, การสื่อสารขาดประสิทธิภาพ, ทหารไม่มีกำลังใจ ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนอื่นในประเทศก็ไม่มีเลย

สำหรับคนที่ไม่เชื่อว่ารัสเซียจะล้มเหลวในการยึดครองยูเครน ต้องย้ำว่ายูเครนคือประเทศใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป, มีความสามารถในการผลิตอาวุธเพื่อส่งออก, มีการฝึกทหารร่วมกับนาโต้อย่างต่อเนื่อง และมีความสนับสนุนด้านอาวุธ-การทูต-การข่าว-การเงินอย่างที่รัสเซียไม่มีเลย

อังเคร โคซีเรฟ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียทศวรรษ 1990 พูดตั้งแต่เริ่มสงครามว่ารัสเซียจะแพ้ศึกนี้ แม้กองทัพรัสเซียจะยิ่งใหญ่ในแง่กำลังพลและงบประมาณ แต่เครือข่ายปูตินโกงเงินส่วนนี้ไปจนงบฯ พัฒนากองทัพจริงๆ ต่ำจนไม่มีทางชนะประเทศที่กองทัพเล็กกว่าและงบฯ น้อยกว่าอย่างยูเครน

ถึงที่สุดแล้วสงครามรัสเซียบุกยูเครนคือสงครามที่คู่ต่อสู้ของรัสเซียคือประเทศประชาธิปไตยแทบทั้งหมด ส่วนพันธมิตรของรัสเซียคือประเทศอย่างซีเรีย, ลิเบีย, เกาหลีเหนือ, พม่า, กบฏเยเมน และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง

ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้นอกจากส่งทหารไปช่วยฆ่ายูเครน

ทางเลือกที่ดีที่สุดของปูตินคือยุติสงครามก่อนที่ความเสียหายต่อประเทศจะลุกลาม

แต่ทางเลือกที่ดีต่อประเทศแบบนี้ไม่ดีต่อภาพลักษณ์ปูติน

คนแบบปูตินจึงเหมือนเผด็จการไทยและอื่นๆ ที่เลือกทางเลวให้ประเทศ แต่อาจจะดีกับตัวเอง

รัสเซียไม่มีทางถอนทหารและหยุดยิงในอนาคตอันใกล้

ทางรอดของโลกจากภาวะสงครามจึงได้แก่การทำให้ปูตินตระหนักว่าการทำสงครามมีต้นทุนแพงกว่าการยุติสงคราม

และการหาทางออกทางการเมืองเพื่อลดความสูญเสียของทุกฝ่ายคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน