บางอย่างในความรักของเรา (3) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (3)

 

เราทุกคนล้วนตกอยู่ภายใต้สายตาของใครบางคน ตัวอักษรในหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมอ่านในช่วงมหาวิทยาลัยบอกผมเช่นนั้น อาจเป็นสายตาของคนข้างเคียง ของเพื่อน ของบุคคลในครอบครัวไปจนถึงสายตาของพระเจ้า หากคุณเชื่อว่าพระเจ้าจะมีอยู่จริง

แม้นว่าผมจะไม่เชื่อในเรื่องราวของพระเจ้า แม้นว่าผมจะมีเพื่อนจำนวนไม่มากนัก และแม้นว่าครอบครัวของผมจะมีเพียงผมและพ่อกับแม่เท่านั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าเวลาตลอดสี่ปีในมหาวิทยาลัย ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปิ่นล้วนตกอยู่ภายใต้สายตาของใครบางคน

หรือจะระบุให้แน่ชัดความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปิ่นตกอยู่ภายใต้สายตาของชายผู้ที่มารับปิ่นในวันนั้น ชายผู้เป็นพ่อของปิ่น ชายผู้ไม่เคยแสดงความปรารถนาดีของเขาต่อผมเลยแม้สักครั้งเดียว

ชีวิตในมหาวิทยาลัยคือชีวิตของการเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ผู้คนในรุ่นราวของผมคิดเช่นนั้น ชีวิตในโรงเรียนของพวกเราที่มีครูคอยตะโกนใส่หูว่าต้องทำตัวให้ถูกระเบียบเต็มไปด้วยความน่าเบื่อหน่าย ชีวิตในโรงเรียนของพวกเราที่เต็มไปด้วยเครื่องแบบ ความถูกต้องของการแต่งกายไปจนถึงเส้นผมและสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องน่าเบื่อ ความต้องเดินทางมาให้ทันเวลาเคารพธงชาติเป็นความน่ารำคาญและน่าหดหู่ พวกเราในรุ่นนั้นโหยหาชีวิตในมหาวิทยาลัยมากกว่าสิ่งใดอื่น พวกเราอยากได้การเรียนที่เรากำหนดวิชาเรียนเองได้ พวกเราต้องการเครื่องแบบที่เรากำหนดเองได้

และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราต้องการวิถีชีวิตที่กำหนดเองได้

 

วันแรกของการเปิดเรียนในมหาวิทยาลัย ผมตื่นแต่เช้าตรู่ พระอาทิตย์ยังไม่ได้ขึ้นสู่ท้องฟ้า ท้องถนนยังมีไฟถนนทำหน้าที่ ผมนั่งรถเมล์ที่น่าจะเป็นเที่ยวแรกๆ ของวันไปจนถึงท้องสนามหลวง ก่อนจะเดินตัดสนามหลวงนั้นไปยังมหาวิทยาลัยของตน

มีนักศึกษาหลายคนมาถึงมหาวิทยาลัยแล้วเช่นกัน นักศึกษารุ่นพี่พากันตั้งโต๊ะขายสมุดที่หน้าปกถูกทำขึ้นอย่างสวยงามพร้อมทั้งประทับตรามหาวิทยาลัยไว้บนนั้น

ผมอุดหนุนสมุดเล่มหนึ่งที่มีหน้าปกเป็นดอกทิวลิปบนพื้นขาว ดูจากรูปมันน่าจะถูกถ่ายโดยช่างภาพที่มีฝีมือ อันที่จริงมันก็ดูสะอาดเรียบร้อยเกินไปสำหรับสมุดจดคำบรรยาย

แต่นั่นไม่ใช่สมุดที่ผมต้องการจะใช้ ผมยังหลงเหลือสมุดอีกหลายเล่มจากชีวิตมัธยมปลาย สมุดเล่มใหม่นี้ผมซี้อให้ปิ่นเป็นดังการมอบดอกไม้ให้กับชีวิตใหม่ในมหาวิทยาลัยของเรา

ผมไปนั่งรอปิ่นที่หน้าคณะของเธอ มีโต๊ะนั่งที่เก่าคร่ำคร่าข้างสนามฟุตบอล ฝุ่นจากช่วงเวลาปิดภาคที่กินเวลานานถึงสามเดือนทำให้แทบทุกจุดของโต๊ะและเก้าอี้เป็นคราบสีดำ

ผมใช้ใบไม้บริเวณนั้นเช็ดคราบดังกล่าวพอให้หย่อนตัวลงไปได้ นักศึกษาใหม่เริ่มต้นการมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว พวกเขาอยู่ในเสื้อสีขาวเหมือนผม

หากเป็นนักศึกษาชาย พวกเขาก็ใช้กางเกงขายาวที่ทำจากผ้ายีนส์หรือผ้าสีดำหรือน้ำเงิน

ส่วนนักศึกษาหญิงนั้นมีทั้งกระโปรงสีดำ สีน้ำเงิน สีน้ำตาล ไปจนถึงสีกากี

มีความหลากหลายของการแต่งกายในหมู่นักศึกษาใหม่ก่อนที่ความหลากหลายนั้นจะขยายตัวมากขึ้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป

ดอกหางนกยูงสีส้มสดถูกผมหยิบขึ้นพิจารณาในระหว่างการเฝ้ารอการปรากฏตัวของปิ่น นี่จะเป็นการพบกันของเราหลังการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

ปิ่นเดินทางไปเรียนภาคฤดูร้อนที่อังกฤษ ในขณะที่ผมเตลิดลงใต้ไปใช้ชีวิตกับเพื่อนแถบพัทลุง

อาหารที่แปลกตาไปจนถึงสำเนียงพูด ภูมิทัศน์ที่ไม่คุ้นเคยทั้งฝนที่ตกแบบเดาใจได้ยากและป่าเขาท้องนาที่ปรากฏเป็นระยะทำให้วันเวลาของผมที่นั่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เพื่อนของผมที่เป็นคนในพื้นที่พาผมซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไปจนถึงจังหวัดตรัง เรากางเต็นท์นอนริมทะเลหนึ่งคืนก่อนจะเดินทางกลับ เป็นการซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ในระยะทางไกลครั้งแรกของผม

ลิ้นของผมปรับตัวเข้ากับน้ำพริกกะปิรสจัด แกงที่ทำจากปลาตัวเล็กและปลาตัวใหญ่ ปลาดุกที่หมักจนส่งกลิ่น แต่เมื่อนำขึ้นทอดก็พาเอาเรากินข้าวหมดหม้อหมดไหโดยไม่รู้สึกตัว

ผิวของผมคล้ำขึ้น ร่างกายกำยำจากการเดินป่าขึ้นหาต้นไม้แปลกๆ ลงมาปลูกที่สวนของเพื่อน

ผมเขียนเล่าสิ่งนี้ในจดหมายถึงปิ่นหลายฉบับ เป็นจดหมายที่ผมไม่ได้ส่งถึงเธอ ผมตั้งใจว่าจะมอบจดหมายทั้งหมดนี้ในวันที่เจอเธอครั้งแรก

ผมต้องการให้ปิ่นประหลาดใจกับหลายสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ความรู้สึกที่ว่าผมเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะปกป้องเธอ

แต่แล้วปิ่นกลับไม่ปรากฏตัวขึ้น

 

ผมรอปิ่นที่หน้าคณะของเธอจนแดดแรงกล้าขึ้นตามลำดับ แต่ปิ่นไม่ปรากฏตัว นักศึกษาใหม่หลายคนจับกลุ่มแนะนำตัวกัน มีการแบ่งกลุ่มโดยรุ่นพี่เพื่อให้ความสนิทมักคุ้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการเล่นเกมสลับกับการสร้างบทละครง่ายๆ ก่อนที่พวกเขาจะพักในช่วงสาย

ผมไม่เห็นวี่แววของปิ่นจนในที่สุดผมก็ยอมแพ้ ผมเดินย้อนกลับออกไปทางประตูที่นำไปสู่ถนนพระอาทิตย์ ผมตรงไปยังคณะของผม แจ้งชื่อและแสดงตนพร้อมกับรับคู่มีอประจำตัวนักศึกษา ก่อนที่จะเดินปลีกตัวออกจากเพื่อนร่วมชั้นปี ผ่านโรงอาหารริมน้ำ ขึ้นไปยังอาคารห้องสมุด

ผมโดยสารลิฟต์ไปจนถึงชั้นบนสุดที่มีหนังสือภาษาอังกฤษ ในสถานที่นั้นเช่นเดียวกันกับโต๊ะหน้าคณะของปิ่น มันเต็มไปด้วยฝุ่นผงและสารพัดคราบไคลของการถูกละเลย

ผมดึงหนังสือรวมบทกวีจากประเทศญี่ปุ่นเล่มหนึ่งออกจากชั้นด้วยอาการใจลอย เลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ห้องสมุดปราศจากผู้คน ไม่มีใครโหยหาหนังสือในวันแรกของการเปิดภาค ผมเปิดสมุดเล่มใหม่ที่ตั้งใจจะซื้อมามอบให้ปิ่น คัดลอกบทกวีบทหนึ่งลงในสมุดเล่มนั้น

“เสียงร้องของจักจั่น

หาได้บอกเราเลยว่า

อีกไม่ช้านั้น มันจะต้องจากโลกนี้ไป”

มัตสุโอะ บาโช

หลังจากคัดลอกบทกวีนั้น ผมปิดสมุดดังกล่าวลง ภาพปกดอกทิวลิปบนพื้นขาวยังแลดูสดชื่น แต่ในความรู้สึกของผมนั้นดอกทิวลิปดังกล่าวแลดูเหี่ยวแห้งลงโดยฉับพลัน

 

ผมพบปิ่นในอาทิตย์ถัดมา ผมไม่กล้าโทรศัพท์ไปหาเธอที่บ้าน บางอย่างจากสายตาของพ่อเธอที่มองผมในการพบกันครั้งล่าสุดนั้นบ่งบอกเป็นสัญญาณว่าผมควรอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้

ดังนั้น ทุกเช้าเมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยผมจะแวะไปที่คณะของปิ่น นั่งลงที่โต๊ะตัวเดิมเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง คณะของเธอนั้นมีนักศึกษาไม่มากนักและผมรู้จักเพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่ง เธอเป็นเพื่อนต่างห้องของเราที่มาจากโรงเรียนเดียวกันกับปิ่นในชั้นมัธยมต้น

ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมเห็นเพื่อนของปิ่นเดินอยู่ในมหาวิทยาลัยเพียงลำพังผมย่อมรู้ได้ในทันทีว่าปิ่นยังไม่ได้มาถึงมหาวิทยาลัยของเรา

ผมพบปิ่นในสัปดาห์ต่อมา เธอมาถึงคณะของเธอด้วยท่าทีร่าเริง เธอมีผิวที่ขาวขึ้นยิ่งหากเทียบกับผมที่คล้ำลงด้วยการผจญภัยที่บ้านเพื่อนในจังหวัดพัทลุง

เธอทำผมสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบเป็นสีทอง เธอไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาปีหนึ่งแบบเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ปิ่นอยู่ในชุดเสื้อยืดที่สกรีนลวดลายเป็นนักร้องชื่อดังในอดีตอันได้แก่ จิม มอร์ริสัน

เธอสวมกางเกงยีนส์ที่ซีดเก่าแต่แลดูมีราคา เธอสะพายเป้สีน้ำเงินประทับตรามหาวิทยาลัยในอังกฤษ และนอกเหนือจากนั้นเธอยังมีโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กติดตัว

ช่วงเวลาตอนนั้นวิกฤตการณ์ทางการเงินในประเทศของเราเพิ่งผ่านพ้นไป เราได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่หลายคนเรียกเขาว่า “อัศวินแห่งคลื่นลูกที่สาม” ทุกอย่างดูจะกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งและผมก็พร้อมจะรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับปิ่นนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยเอาเลย

 

เมื่อปิ่นเห็นผม เธอตรงเข้ามากอดผมด้วยความดีใจ แม้ว่าเราทั้งคู่จะเป็นคู่รักกันมานานนับปี แต่การสัมผัสเนื้อตัวของเราในวันนั้นกลับเป็นครั้งแรก ผมกอดปิ่นด้วยอาการดีใจไม่แยแสต่อสายตาของนักศึกษาที่เดินผ่านไปมา เธอเองก็กอดผมด้วยความรู้สึกเดียวกัน

มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป แต่จากกอดนั้นผมรับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่นั้นยังคงเหมือนเดิม

ผมกับปิ่นใช้เวลาตลอดบ่ายเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านพ้นมาในช่วงหลายเดือนให้กันและกันได้ฟัง ผมเล่าถึงการผจญภัยในภาคใต้ของผม การออกทะเล การเดินป่า การทดลองทำอาหารที่ไม่คุ้นชิน

ปิ่นเล่าให้ฟังถึงเพื่อนใหม่ ระบบการเรียนการสอนที่อังกฤษ นาฬิกาบิ๊กเบน สะพานลอนดอนไปจนถึงพระราชวังวินด์เซอร์

ปิ่นแลดูเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น แทนที่จะเป็นเด็กสาวขี้อายดังกาลก่อน

เรากินอาหารเที่ยงด้วยกัน ก่อนที่ผมจะพาเธอขึ้นไปยังชั้นบนสุดของห้องสมุด ผมอวดโต๊ะตัวที่ผมใช้คัดลอกบทกวี ใช้อ่านหนังสือเพียงลำพัง ปิ่นมองดูโต๊ะตัวนั้นและพูดแกล้มเสียงหัวเราะว่า “นี่คงเป็นถ้ำของเธอ”

ตกเย็น ผมกับปิ่นลงมาจากห้องสมุด ปิ่นสะพายเป้เดินอยู่เคียงข้างผมที่มีสมุดจดคำบรรยายเพียงเล่มเดียว ผมตั้งใจจะพาเธอเดินออกไปทางท่าพระจันทร์ ผมอยากพาเธอเดินดูแผงขายของเก่าจำนวนมากที่ตั้งเรียงรายไปจนถึงท่าเตียนก่อนจะนั่งรถโดยสารประจำทางไปส่งเธอที่บ้าน

หากแต่ปิ่นปฏิเสธ เธอพาผมกลับมาที่หน้าคณะของเธอ ที่นั่นมีรถยนต์ใหม่เอี่ยมหนึ่งคันจอดแนบชิดทางไปอาคารหอประชุม เมื่อแลเห็นปิ่น ใครบางคนในรถเปิดกระจกขึ้นพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อเธอ ผมมองตามเสียงเรียกนั้น พ่อของปิ่นนั่นเอง เขาเปิดประตูรถให้ปิ่นขึ้นนั่งเคียงคู่เขาก่อนจะขับรถพาปิ่นจากไป

ช่วงเวลาไม่กี่นาทีนั้น ไม่มีคำทักทายของเขาต่อผมแม้แต่คำเดียว ผมเดินกลับออกไปทางประตูท่าพระจันทร์ เดินเตร่ไปตามแผงขายของเก่าบนบาทถนนโดยไม่ได้ซื้อหาสิ่งใด

และเมื่อผมโดยสารรถประจำทางกลับบ้าน ผมจึงพบว่าผมลืมมอบจดหมายทั้งหมดที่เขียนถึงปิ่นให้แก่เธอ •