รัสเซียบนเส้นทางที่ไม่มีอนาคต ในศึกยูเครน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ศึกยูเครนเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4 โดยยังไม่มีวี่แววว่ารัสเซียจะยึดเมืองหลวงและล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งของคนยูเครนได้สำเร็จ ถึงแม้กองทัพรัสเซียจะบุกประชิดเมืองหลวงยูเครนมากขึ้น และจำนวนเมืองใหญ่ที่ถูกกองทัพรัสเซียยึดครองจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

ตรงข้ามกับความเชื่อของคนจำนวนมากที่คิดว่ารัสเซียจะทะลุชายแดนจนยึดเมืองหลวงยูเครนได้ในพริบตา ยูเครนยันกองทัพรัสเซียได้สำเร็จมาแล้วเกือบหนึ่งเดือน ขณะที่รัสเซียเองก็ต้องระดมกำลังพลและอาวุธทุกรูปแบบเพื่อยึดครองยูเครนอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดเลย

รัสเซียมีทหารและอาวุธมากกว่ายูเครนหลายเท่าตัว หนึ่งเดือนที่ยูเครนยันรัสเซียจึงเป็นหลักฐานว่าขนาดไม่ใช่ปัจจัยของชัยชนะในสงครามทั้งหมด เพราะรัสเซียเจอปัญหาส่งกำลังบำรุง, วางแผนการรบผิด, มวลชนต่อต้าน

และประเมินศักยภาพทัพยูเครนต่ำจนการรบภาคพื้นดินคืบหน้าช้าเหลือเกิน

รัสเซียบุกยูเครนสัปดาห์ที่สามด้วยจรวดและการโจมตีทางอากาศแบบไม่สนใจเรื่องการทำร้ายพลเรือน

ยิ่งกว่านั้นคือยิ่งนานการโจมตียิ่งขยายจากจากภาคตะวันออกไปภาคตะวันตกถึงขั้นยิงจรวดห่างชายแดนโปแลนด์แค่ 20 ก.ม. ซึ่งทำให้แต่ละเมืองไม่สามารถช่วยกันปกป้องเมืองหลวงได้เลย

ยุทธศาสตร์รัสเซียมุ่งใช้ความเหนือกว่าด้านกำลังและอาวุธล้อมเมืองหลวงยูเครน ยุทธวิธีของแผนนี้จึงได้แก่การโจมตีทุกทิศจากกองทัพรัสเซียในภาคตะวันออก, กลุ่มแยกดินแดนภาคตะวันออกเฉียงใต้ และทหารในเบลารุสจากภาคเหนือที่รัสเซียหลอกว่าไปฝึกรบเพื่อร่วมกันยึดยูเครน

ล่าสุด กองทัพเรือรัสเซียรอยกพลขึ้นฝั่งที่ชายหาดเมืองออเดซาทางภาคใต้ยูเครน ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงว่ากองเรือรัสเซียมีอย่างน้อย 14 ลำ โดยหนึ่งในนั้นคือเรือลำเลียงพลยักษ์ขนาด 120 เมตรชื่อ Pyotr Morgunov

ซึ่งเท่ากับว่ารัสเซียจะใช้ทหารเรือและนาวิกโยธินตียูเครนทางตอนใต้ด้วยแน่นอน

 

ยูเครนภาคใต้มีเมืองหน้าด่านสำคัญคือมาริอูปอล และตราบใดที่มาริอูปอลยังอยู่ ตราบนั้นรัสเซียก็ยากจะขึ้นฝั่งสำเร็จ ที่ผ่านมารัสเซียจึงยิงจรวดถล่มเมืองมาริอูปอล อำมหิตถึงขั้นยิงโรงพยาบาล หญิงท้องตายทั้งกลม คนตายทั้งเมืองไม่ต่ำกว่า 2,500 คน ถึงขั้นต้องฝังศพทุกคนรวมในหลุมเดียวกัน

ด้วยการถูกรัสเซียยิงจรวดและทิ้งระเบิดติดต่อกันกว่าสิบวัน ในที่สุดทหารรัสเซียก็บุกมาริอูปอลสำเร็จ แผนบุกยูเครนจากภาคใต้จึงสามารถดำเนินการได้ และถึงที่สุดก็มีความเป็นไปได้ที่เมืองหลวงยูเครนจะถูกกองทัพรัสเซียล้อมทุกทิศจนแทบจะไม่มีทางรอดได้เลย

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าทหารรัสเซียจะตรงจากภาคใต้ไปเมืองหลวงยูเครนได้ทันที แต่เมืองใหญ่ถัดไปคือเดนิโปรถูกรัสเซียทำลายสนามบินไปนานแล้ว วิธีที่ยูเครนจะสู้กองทัพรัสเซียจึงเหลือแต่การซุ่มโจมตีทางพื้นราบและโดรนซึ่งทำได้แค่ชะลอมากกว่าจะหยุดการรุกรานได้จริงๆ

รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษและอดีตผู้บัญชาการฐานทัพสหรัฐประจำภาคพื้นยุโรปเป็น 2 คนที่เชื่อว่ายูเครนมีสิทธิชนะรัสเซีย

เหตุผลข้อแรกคือรัสเซียมีปัญหาเรื่องการส่งกำลังบำรุง

ส่วนเหตุผลข้อที่สองคือกระสุนและอาวุธของรัสเซียอาจร่อยหรอจนไม่คุ้มที่จะรบกับยูเครนต่อไป

แน่นอนว่าคำอธิบายนี้เหลือเชื่อเมื่อมองจากมุมคนที่เชื่อว่ารัสเซียเป็น “มหาอำนาจ” ระดับเดียวกับสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาคือรัสเซียในความเป็นจริงอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ามายาคติเรื่อง “มหาอำนาจ” ทำให้เห็นรัสเซียแข็งแกร่งและทรงอำนาจจนเกินไปจากความเป็นจริง

ในช่วงแรกๆ ที่รัสเซียบุกยูเครน รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียในยุคประธานาธิบดีเยลต์ซินเคยแสดงความเห็นว่าแม้กองทัพรัสเซียจะยิ่งใหญ่ในแง่กำลังพลและงบประมาณ แต่ความจริงแล้วงบฯ ทหารถูกปูตินและพวกพ้องกอบโกยไปจำนวนมาก

ผลก็คือเหลือเงินมาให้กองทัพรัสเซียจริงๆ แค่นิดเดียว

ด้วยเนื้อในที่กลวงกว่าความเป็นจริง รัสเซียทำศึกยูเครนโดยทุกอย่างผิดแผนหมด

หลักฐานจำนวนมากชี้ว่ารัสเซียบุกยูเครนโดยวางแผนเผด็จศึกใน 15 วัน

แต่ยุทธวิธีรบของรัสเซียทำทุกอย่างพินาศ การโจมตีทางอากาศเพื่อเปิดทางให้รถถังและทหารราบบุกนั้นไม่เกิดผลมากอย่างที่ควรเป็น

โดยทฤษฎีนั้นการโจมตีทางอากาศต้องทำให้กองทัพรัสเซียครอบครองน่านฟ้ายูเครนโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งที่รัสเซียใช้เครื่องบินถล่มยูเครนเข้าสัปดาห์ที่ 4 รัสเซียก็ยึดน่านฟ้ายูเครนไม่สำเร็จ ตัวอย่างง่ายๆ คือกองทัพอากาศยูเครนโจมตีสนามบินเคอร์ซอนที่ถูกรัสเซียยึดจนรัสเซียสูญเสียเครื่องบินหลายลำ

เมื่อครอบครองน่านฟ้าไม่ได้ แผนการบุกทางพื้นราบก็เป็นไปอย่างล่าช้า เช่นเดียวกับการสูญเสียนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และภายใต้แรงกดดันที่การบุกยูเครนใช้เวลานานแบบนี้

ปูตินไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการโจมตีอย่างรุนแรงเพื่อเร่งปิดศึกยูเครนให้เร็ว

เห็นได้ชัดว่ารัสเซียบุกยูเครนแบบยิ่งนานก็ยิ่งสร้างปัญหาให้ตัวเอง คนยูเครนที่ไม่พอใจการรุกรานก็ยิ่งไม่พอใจความโหดเหี้ยมที่รัสเซียทำกับคนมือเปล่ามากขึ้น หลายเมืองที่ทหารรัสเซียยึดครองจึงถูกประชาชนต่อต้านเยอะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นด้วยการถีบรถทหาร, ขวางรถทหาร หรือชุมนุม

ถ้ารัสเซียยึดเมืองหลวงและล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งของคนยูเครนได้จริงๆ ในที่สุดคนยูเครนจะต่อต้านรัสเซียเหมือนการต่อต้านรัฐประหารประเทศอื่นๆ

แต่ความรังเกียจที่คนยูเครนมีต่อรัสเซียจะรุนแรงขึ้นหลายเท่า เพราะคณะรัฐประหารคือผู้รุกรานจากต่างชาติที่ฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมไปนับพัน

ปูตินสร้างศึกซึ่งไม่มีทางออก นอกจากจะยกระดับเป็นสงครามและการปราบปรามประชาชน แต่ปัญหาคือทั้งหมดนี้จะทำให้การรุกรานยูเครนลุกลามเป็นปัญหาของรัสเซียกับประเทศอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ

จนอาจนำไปสู่การการเผชิญหน้าและการข่มขู่โดยรัสเซียว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์

ล่าสุด จู่ๆ กระทรวงกลาโหมรัสเซียก็เผยแพร่คลิปยิงจรวดความเร็วเหนือแสงซึ่งไปถึงลอนดอนได้ใน 5 นาที ที่แย่กว่านั้นคือจรวดนี้ติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ และถึงแม้ทุกคนที่ตามข่าวนี้จะเดาว่ารัสเซียเอาคลิปการทดลองเดือนธันวาคมมาเผยแพร่ แต่ก็คือหลักฐานว่ารัสเซียใช้นิวเคลียร์ขู่ชาติอื่นได้จริงๆ

รัสเซียอ้างว่าบุกยูเครนเพราะไม่พอใจที่ยูเครนจะเป็นสมาชิกนาโต ซึ่งอาจทำให้สหรัฐขยายอิทธิพล แต่ความรุนแรงของรัสเซีย สหรัฐและชาติอื่นๆ ต้องพัวพันกับเรื่องยูเครนเยอะไปหมด เพราะรัสเซียขู่จะทำแบบนี้กับสวีเดนและฟินแลนด์, ขู่ยิงทุกประเทศที่ช่วยยูเครน และแม้แต่ขู่ยิงอาวุธนิวเคลียร์

เฉพาะในวันอังคารที่ผ่านมา ขณะที่รัสเซียกำลังยิงจรวดถล่มกรุงเคียฟ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์-เช็ก และสโลวะเกียกลับเสี่ยงตายเข้าไปในเคียฟโดยไม่หวั่นเกรงอันตราย เหตุผลที่ผู้นำทั้งสามประเทศไปคือเป็นตัวแทนสหภาพยุโรปในการสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของคนยูเครน

พูดอย่างตรงไปตรงมา รัสเซียทำให้โลกมองว่ารัสเซียคือภัยคุกคามระเบียบโลก และทางออกในการเผชิญภัยคุกคามนี้คือโลกต้องร่วมมือกันให้มากขึ้นเพื่อยุติภัยคุกคามนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือด้วยการใช้มาตรการทางการทูตและการหลีกเลี่ยงสงครามเป็นเครื่องมือ

การบุกยูเครนทำให้รัสเซียโดดเดี่ยวจากโลก พันธมิตรของรัสเซียมีเพียงประเทศอย่างซีเรีย, ลิเบีย และแอฟริกากลาง ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่รัสเซียเคยสนับสนุนอาวุธในช่วงที่มีสงครามกลางเมืองทั้งสิ้น ขณะที่ประเทศอื่นหันหลังให้กับรัสเซียทั้งหมด หรืออย่างน้อยก็ไม่สนับสนุนรัสเซียโดยตรง

รัสเซียสร้างความชอบธรรมให้การบุกยูเครนด้วยวาทกรรมว่า “ตะวันตก” รังแก “ตะวันออก” แต่ความจริงคือศึกรัสเซียทำให้โลกแบ่งขั้วเป็น “หนุนประชาธิปไตย” หรือ “หนุนเผด็จการ”

ซึ่งส่งผลให้สหรัฐ-ยุโรป-ญี่ปุ่น มีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นขึ้นในการเลือกข้างประชาธิปไตย

รัสเซียทำให้ตัวเองไม่มีที่ยืนในโลก ตัวอย่างง่ายๆ ของการไม่มีที่ยืนคือรัสเซียต้องลาออกจากสภายุโรปซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่เก่าแก่ที่สุด ผลก็คืออนุสัญญาสิทธิมนุษยชนทั้งหมดจะไม่มีผลบังคับใช้ในรัสเซีย ส่วนคนรัสเซียก็จะฟ้องศาลยุโรปให้เอาผิดรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิไม่ได้เลย

ต่อให้รัสเซียจะใช้กำลังจนยึดเมืองหลวงยูเครนได้สำเร็จ สิ่งที่รัสเซียจะเจอคือการต่อต้านของคนยูเครนแบบที่คนเวียดนามต่อสู้กับสหรัฐ หรือคนอัฟกานิสถานเคยต่อสู้กับรัสเซีย นั่นหมายความว่ารัสเซียจะถูกต่อต้านจากนานาชาติในระดับโลกและจากมวลชนในประเทศยูเครนเอง

ภายใต้ภาพลักษณ์ว่ารัสเซียคือมหาอำนาจระดับโลก ความจริงคือรัสเซียเป็นประเทศเกิดใหม่จากความล่มสลายของสหภาพโซเวียตในทศวรรษ 1990 จนถังแตก, ยากจน และเศรษฐกิจรัสเซียมีขนาดเล็กกว่ากรุงโตเกียว, ประเทศเกาหลีใต้ หรือแม้แต่มลรัฐเท็กซัสของสหรัฐด้วยซ้ำไป

รัสเซียกำลังเดินหน้าสู่ความล่มสลาย เส้นทางของรัสเซียวันนี้ไม่ต่างอะไรจากเส้นทางของสหภาพโซเวียตสามสิบปีที่แล้ว นั่นก็คือเป็นประเทศที่ผู้นำบ้าอำนาจตัดสินใจผิดพลาดจนทำให้โครงสร้างพื้นฐานของประเทศพังทลายลง