ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
เหยี่ยวถลาลม
คิดแบบมหาอำนาจ
ง่ายเกินไปที่จะบอกกับทั้ง 2 ฝ่ายว่า หยุดเถอะ โลกระอุ ชาวบ้านเดือดร้อนกันไปทั่วแล้ว
2 ฝ่ายที่ว่านั้นคือ รัสเซียกับสหรัฐอเมริกา
สงครามนี้ไม่ใช่ “รัสเซีย” กับ “ยูเครน”
รัสเซียเปิดหน้า แต่ที่ยืนอยู่ข้างหลังยูเครนนั้นคือสหรัฐอเมริกา
ถ้าหากว่าจะประณามรัสเซียเป็นผู้รุกราน สงครามครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากที่สหรัฐอเมริกาเคยบุกยึดและทำลายอิรัก
นั่นก็คือผู้รุกราน และกระหายสงคราม
แต่ทุกครั้งที่ประเทศใหญ่ก่อสงครามขึ้นจะต้องหา “เหตุผล” มาโฆษณาชวนเชื่อเสมอ ถึงแม้ว่าเนื้อแท้เป็นการรุกราน การแทรกแซง หนุนหลังการแบ่งแยกดินแดน สนับสนุนรัฐประหาร หรืออยู่เบื้องหลังรัฐบาลหุ่นเชิด แต่ “ผู้รุกราน” จะต้องสร้าง “ความชอบธรรม” ให้กับปฏิบัติการนั้นๆ เช่น ในครั้งที่กองทัพสหรัฐอเมริกาบุกอิรักก็อ้างว่า อิรักครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง)
เมื่อรัสเซียบุกยูเครนก็ต้องมีคำอธิบาย!
อย่าลืมว่า ก่อนสหภาพโซเวียตล่มสลายนั้น “อภิมหาอำนาจ” ในโลกนี้มีอยู่ 2 ขั้ว คือสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต
หน่วยสืบราชการลับระดับโลกก็มี “ซีไอเอ” กับ “เคจีบี” และบ่อยทีเดียวที่ 2 ขั้วมหาอำนาจมีการเจรจาลดกำลังอาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์กันในยุโรปและประเทศสมาชิกนาโต
อย่าลืมว่า สหรัฐอเมริกากับนาโต คือเนื้อเดียวกัน!
แต่สหภาพโซเวียตแตก แคว้นต่างๆ แยกตัวเป็นรัฐอิสระ อาทิ ยูเครน อาเซอร์ไบจาน มอลโดวา อุซเบกิสถาน เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อาร์เมเนีย จอร์เจีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ทรานส์นีสเตรีย เติร์กเมนิสถาน เชชเนีย ส่วนประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเป็นเครือข่ายอุดมการณ์เดียวกันต่างก็เป็นอิสระจากอิทธิพลสหภาพโซเวียตกันหมดแล้ว
ในโลกจึงคงเหลือเพียง 1 เดียว คือ สหรัฐอเมริกา
อเมริกาจึงเป็น “อภิมหาอำนาจ”
แต่แม้ว่าสหภาพโซเวียตจะล่มสลาย “รัสเซีย” ก็ยังคงเป็น “มหาอำนาจทางทหาร” เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา
จะว่าไป “อภิมหาอำนาจ” ก็คงไม่ไว้วางใจ
ดุลอำนาจทางทหารของรัสเซียน่าเกรงขาม
ฝ่ายรัสเซียก็คงจะไม่ยินดีที่โลกนี้จะมีเพียง “สหรัฐอเมริกา” เป็นผู้นำ 1 เดียว และคงนอนไม่หลับ ถ้าอเมริกามาป้วนเปี้ยนแถว “พื้นที่รอบบ้าน” ซึ่งอดีตเคยเป็นรัฐบริวารกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหลายประเทศเอาใจออกห่างรัสเซียไปฝักใฝ่อเมริกา
“วลาดิมีร์ ปูติน” ปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นมาพร้อมกับฟื้นฟูความทรงจำทางประวัติศาสตร์การทหารรัสเซียที่เกรียงไกรถึงขั้น “กองทัพนโปเลียน” เคยพ่ายยับสูญเสียกำลังทหารนับแสนใน “สงครามผู้รักชาติ” ปี ค.ศ.1812
ขุดประวัติศาสตร์ขึ้นมาใช้เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” แยกแยะมิตรศัตรูของอดีตสหภาพโซเวียต
“สงครามรัสเซีย-ยูเครน” จึงมิใช่ปัญหาลิ้นกับฟัน
หากแต่เป็นดุลอำนาจของโลก!
จากมุมมองของ “ปูติน” โลกใบนี้มิได้มีเพียง “โลกตะวันตกกับสหรัฐอเมริกา” หากแต่ยังมี “โลกตะวันออก” และ “โลกยูเรเซีย”
รัสเซียยึดพื้นที่บางส่วนในจอร์เจีย ผนวกไครเมียที่เดิมเป็นของสหภาพโซเวียตลับคืนมา บุกยูเครนและสร้าง “สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย” ขึ้นมาพร้อมกับให้ความสำคัญกับรัฐอิสระที่แตกตัวออกไปจากสหภาพโซเวียตและประเทศพันธมิตรรอบบ้าน
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนเป็น “บทเรียน” ให้รัสเซียต้องเร่งดำเนินยุทธศาสตร์สร้างแนวเศรษฐกิจยูเรเซีย มุ่งหน้าสู่ยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง
ปูตินใช้ลัทธิยูเรเซียนปลุกให้คนรัสเซียตื่นตัวลุกขึ้นต่อต้านสหรัฐอเมริกาที่กำลังดำเนินนโยบายปิดล้อมด้วยการดึงเอายูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต
นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตไทยทั้งในรัสเซีย เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์กับ “มติชนออนไลน์” ว่า รัสเซียพูดมากว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยบอริส เยลต์ซิน ว่ารอบบ้านคือความปลอดภัยรัสเซีย จะไม่ยอมให้ใครมาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านส่งผลกระทบกับความมั่นคง แต่สหรัฐก็ขยายการรับสมาชิกนาโตออกไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ฮังการี โปแลนด์ เช็ก และประเทศในยุโรปตะวันออก รัสเซียจึงส่งทหารเข้าไปจอร์เจียเมื่อปี 2008 เพื่อสั่งสอนที่จอร์เจียประกาศเข้าเป็นสมาขิกนาโต จากนั้นรัสเซียก็ยึดไครเมีย ปี 2014 ขณะที่ฝ่ายสหรัฐอเมริกากับพันธมิตรก็ส่งที่ปรึกษาเข้าไปในยูเครน ให้อาวุธ ให้เงิน เข้าไปแทรกแซงทางการเมืองโดยอ้างประชาธิปไตย
สงครามทุกครั้งย่อมต้องมี “เหตุผล”
ตั้งตน “เป็นใหญ่” จึงใช้คำว่า “สั่งสอน” เป็นมหาอำนาจจึงกล้ารุกราน หรือแทรกแซง โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
อย่างเช่น สหรัฐอเมริกาถึงแม้จะอยู่คนละซีกโลก แต่ด้วยความที่ “เป็นใหญ่” จึงขนทหาร ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ไปทำ “สงครามเวียดนาม” สมัยนั้นสหรัฐอเมริกาก็หา “เหตุผล” มาอธิบายให้กับการรบราฆ่าฟันกันอย่างโหดร้ายทารุณที่มีคนตายไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านคนได้เหมือนกัน
การมีระบบความคิดแบบจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดินิยมแห่งโลกเสรี หรือจักรวรรดินิยมในโลกสังคมนิยม ตั้งแต่ยุคที่ยังมีสหภาพโซเวียต จึงไม่คำนึงถึงผลประโยชน์และรายละเอียดปลีกย่อยของชีวิตเล็กๆ เช่นเดียวกับประเทศเล็กๆ ถ้าเป็นรัฐกันชนของประเทศอภิมหาอำนาจก็ย่อมมีสถานะเป็นแค่ “เบี้ย” บนกระดานยุทธศาสตร์ทางการเมืองและความมั่นคงของจักรวรรดิ
ถึงจะรักสงบก็ไม่อาจสงบ แม้หวังเป็นปึกแผ่นก็จะแตกแยก
อิสรภาพทางการเมืองของ” ยูเครน” ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง ฝักใฝ่ทางหนึ่งก็จะถูกอีกฝั่งโค่นล้ม ไล่ล่า จะไม่มีแม้แต่แผ่นดินอาศัย
แน่นอนว่าในแง่มุมของปูติน วันนี้สหรัฐอเมริกายังคงประพฤติตัวเป็น “ผู้มีอิทธิพล” ครอบงำโลก อาศัยรัฐกันชนจ่อคอหอยรัสเซียนับเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
รัสเซีย-ยูเครน ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง อดีตรัฐบริวารสหภาพโซเวียตและประเทศพันธมิตรรายรอบก็มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์คล้ายคลึงกัน
การจัดระเบียบโลกไม่ใช่หน้าที่ของสหรัฐอเมริกา
บริเวณภูมิรัฐศาสตร์ “ยูเรเซีย” นี้ รัสเซีย ยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางสามารถจัดการกันเองได้!?!!!