ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ในที่สุดรัสเซียก็รุกรานประเทศยูเครนมาครบ 2 สัปดาห์ และถึงแม้ว่าจำนวนทหารและพลเรือนยูเครนที่ถูกรัสเซียฆ่าจะสูงเกือบ 500 คน และทางการยูเครนจะยอมรับว่ารัสเซียยึดครองดินแดนจำนวนมากในภาคตะวันออกไปถึงภาคใต้ รัสเซียก็ยังไม่สามารถยึดเมืองหลวงยูเครนได้อย่างตั้งใจ
กระทรวงกลาโหมยูเครนเคยเผยแพร่เอกสารซึ่งระบุว่ารัสเซียมีแผนจะยึดยูเครนให้ได้ภายใน 15 วัน และถึงแม้โลกภายนอกจะมองว่ายูเครนไม่มีทางต้านทานการรุกรานได้สำเร็จ การที่ยูเครนซึ่งมีกำลังทหารน้อยกว่ารัสเซียถึง 4 เท่า สามารถต้านทานรัสเซียได้นานขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา
ขณะที่คนนอกอาจมองว่ายูเครนจะถูกกองทัพรัสเซียตีแตกในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ตัวเลขที่คนไม่ค่อยรู้คือกองทัพยูเครนปลิดชีพทหารรัสเซียแล้วไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ตามที่เจ้าหน้าที่สหรัฐประเมินในกรณีต่ำที่สุด ซึ่งเท่ากับทหารยูเครนมีประสิทธิภาพในการปกป้องประเทศตัวเองพอสมควร
นอกเหนือจากการสูญเสียพลทหารที่รัสเซียคงไม่สนใจ สื่อในประเทศยูเครนเองรายงานว่ารัสเซียสูญเสียทหารระดับนายพลหลายคนด้วย
ตัวอย่างเช่น พลตรีวิตาลี เจอราซิมอฟ ที่เคยปฏิบัติการรบทั้งในซีเรียและเชชเนีย หรือแม้แต่การจับทหารรัสเซียเป็นเชลยสงครามที่มีมากพอสมควร
ในขณะที่ทหารรัสเซียรบตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ทหารยูเครนกลับรบเพื่อปกป้องประเทศและครอบครัวจากผู้รุกราน
ผลที่เกิดขึ้นคือทหารรัสเซียไม่น้อยเลือกที่จะยอมแพ้ หรือไม่อย่างนั้นก็คือทำลายยานพาหนะทางทหารของตัวเองเพื่อที่จะไม่ต้องทำสงคราม
ในฐานะที่ทำรายการโทรทัศน์ซึ่งตามสถานการณ์ในยูเครนอย่างละเอียด ปรากฏกาณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในยูเครนตอนนี้คือรถถัง, รถหุ้มเกราะ, รถลำเลียง ฯลฯ ของรัสเซียถูกพลขับจอดทิ้งอย่างไม่มีสาเหตุเยอะไปหมด เพราะหลายคันอยู่ในสภาพที่มีน้ำมันเต็มคันรถด้วยซ้ำไป
แน่นอนว่ารัสเซียมีกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เหนือกว่ายูเครน และในแง่การควบคุมพื้นที่ รัสเซียก็ยืดเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อการยึดยูเครนได้มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าหลักฐานที่ทหารรัสเซียหนีตายหรือทำลายยานพาหนะของกองทัพทิ้งนั้นมีมากเหลือเกิน
ถ้าเป็นประเทศที่กำลังทหารและยุทโธปกรณ์ไล่เลี่ยกัน สภาพที่ทหารขาดขวัญและกำลังใจคงทำให้รัสเซียต้องยกเลิกแผนรุกรานยูเครนไปในที่สุด
แต่ด้วยเหตุที่รัสเซียมีกำลังพลและยุทโธปกรณ์เยอะกว่ายูเครนมาก ปัญหานี้จึงแทบไม่มีผลให้รัสเซียต้องเปลี่ยนแผนการรุกรานยูเครนเลย
รัสเซียไม่มีสัญญาณถอยในยูเครน และยิ่งนานก็ยิ่งเห็นว่ารัสเซียมีแผนระดมทหารเพื่อยึดยูเครนให้มากที่สุด การยึดเมืองท่าทางภาคใต้ของยูเครนทำให้รัสเซียขนทหารขึ้นฝั่งได้มากขึ้น เช่นเดียวกับรายงานการใช้ทหารเบลารุสจากตอนเหนือและนักรบแบ่งแยกดินแดนจากภาคตะวันออกของยูเครน
ลำพังกำลังทหารและอาวุธของรัสเซียนั้นก็ยากที่ยูเครนจะต่อกร ยิ่งเมื่อรัสเซียใช้ทหารเบลารุส, ทหารรับจ้างเชชเนีย และนักรบของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โอกาสที่ยูเครนจะต่อกรได้ก็ยากขึ้นไปอีก
ไม่ต้องพูดถึงการรบนอกรูปแบบที่รัสเซียทำราวกับจะล้างยูเครนทั้งประเทศให้หายไปจากแผ่นดิน
ยิ่งรัสเซียรุกรานยูเครนนาน ยุทธศาสตร์ที่รัสเซียใช้เพื่อยึดครองประเทศก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การยิงจรวดโจมตีโรงไฟฟ้าหรือคลังน้ำมันเพื่อตัดน้ำตัดไฟคนยูเครนกลายเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการยิงจรวดใส่เขตที่อยู่อาศัย, เขตใจกลางเมือง, โรงเรียน และโรงพยาบาล
ปัญหามีอยู่ข้อเดียวคือทำไมรัสเซียยังยึดครองยูเครนไม่ได้เลย
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเห็นได้ชัดว่าคนยูเครนแน่วแน่ในการปกป้องประเทศตัวเองจนน่าอัศจรรย์ ผู้นำยูเครนปักหลักสู้ในเมืองหลวงโดยไม่หวั่นความตาย ทหารยูเครนสู้กับผู้รุกรานซึ่งเหนือกว่าทั้งจำนวนและอาวุธ หรือแม้แต่คนยูเครนที่แสดงความกล้าหาญไม่ต่างกับคนเมียนมาต้านมิน อ่อง ลาย
ทันทีที่ทหารรัสเซียยึดครองเมืองต่างๆ ในยูเครน คนยูเครนจำนวนมากลงถนนต่อต้านผู้ยึดครองด้วยวิธีหลายรูปแบบตั้งแต่ชุมนุมไล่ทหารตรงๆ, ประชาชนคนเดียวยืนขวางรถทหาร, ชาวบ้านร่วมกันล้อมรถทหาร, ทำระเบิดขวด, ทำหนังสติ๊กยักษ์ยิงระเบิดขวด หรือแม้แต่การไปรบโดยตรง
เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพยิ่งขึ้น ทุกสิ่งที่คนยูเครนทำในเขตที่รัสเซียยึดครองคือสิ่งที่ทำในเมืองไทยคงถูกทหารฆ่าหรือยัดคดี แต่เท่าที่มีหลักฐานปรากฏ มีเหตุการณ์ที่ทหารรัสเซียยิงใส่ผู้ชุมนุมโดยตรงหนึ่งครั้งที่เมืองเคอร์ซอน นอกจากนั้นคือยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าและเล็งปืนขู่ประชาชน 2-3 ครั้ง ในกรณีอื่น
ขณะที่คนยูเครนมุ่งมั่นปกป้องประเทศจนตัดสินใจกันเองว่าจะสู้เพื่อชาติอย่างไร สื่ออิสระยูเครนและนิวยอร์กไทม์สรายงานตรงกันว่าทหารรัสเซียคือทหารใหม่, ไร้ประสบการณ์, ผู้บังคับหน่วยตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ และนายพลเจอราซิมอฟบัญชาการรวมแบบรวมศูนย์จนทุกอย่างไม่ทันการ
ด้วยความแน่วแน่วในการปกป้องประเทศตัวเองทั้งในระดับผู้นำประเทศ, กองทัพ และประชาชน ปูตินกำลังพารัสเซียเข้าสู่สมรภูมิที่ไม่มีวันชนะเหมือนเบรซเนฟเคยนำสหภาพโซเวียทำสงครามอัฟกานิสถานช่วง พ.ศ.2522-2532 ซึ่งจบที่การถอนทหารและเศรษฐกิจโซเวีตพังพินาศในบั้นปลาย
ทางเดียวที่รัสเซียจะชนะยูเครนคือยกระดับความรุนแรง แต่ที่ผ่านมานั้นรัสเซียยิงเด็ก, ยิงโรงเรียน, ยิงผู้อพยพ, ยิงเขตที่อยู่อาศัย, ยิงโรงพยาบาล ฯลฯ จนล้ำเส้นกฎหมายระหว่างประเทศไปหมดแล้ว การยกระดับความรุนแรงกว่านี้คือความอำมหิตขั้นนองเลือดที่จะยิ่งกระตุ้นให้โลกต่อต้านรัสเซีย
ปัญหาหลักของยูเครนคือมีกำลังคนและอาวุธไม่มากพอจะตอบโต้การรุกรานจากหลายทิศในเวลาเดียวกัน และเมื่อคำนึงว่ารัสเซียมุ่งยึดยูเครนโดยไม่สนใจชีวิตทหารและความสูญเสียอื่นๆ ยูเครนที่มีจำนวนคนและทรัพยากรน้อยกว่าก็ยิ่งลำบากขึ้นไปอีก ต่อให้จะมีขนาดหัวใจที่แข็งแกร่งเหลือเกิน
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเป็นไม่กี่คนในโลกที่บอกว่ายูเครนจะชนะรัสเซีย และทางเดียวที่จะเป็นแบบนี้คือยูเครนต้องทำให้ศึกนี้ยืดเยื้อจนรัสเซียยอมเลิกไปในที่สุด การคว่ำบาตรจนรัสเซียสภาพเหมือนเกาหลีเหนือมีผลต่อเรื่องนี้แน่ๆ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการมีอาวุธและกำลังพลที่มากพอ
แม้ในระยะใกล้จะไม่มีทางที่ประเทศไหนส่งคนไปช่วยยูเครนรบรัสเซีย แต่การไปยูเครนในฐานะ “ทหารอาสา” ที่แต่ละคนสมัครผ่านสถานทูตยูเครนนั้นเป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้
กองทัพยูเครนยืนยันว่ากำลังรบส่วนนี้มีแล้วสองหมื่น
แต่คำถามคือ แล้วจะเอาอาวุธที่ไหนมาต่อต้านผู้รุกรานชาวรัสเซีย
สนามบินและฐานทัพอากาศเป็นเป้าหมายที่รัสเซียโจมตีตั้งแต่วันแรกที่เข้ายูเครน และเมื่อระบบต่อสู้ทางอากาศถูกทำลาย ยูเครนย่อมกลายเป็นเป้านิ่งให้รัสเซียโจมตีอย่างเต็มที่ สิ่งที่ผู้นำยูเครนต้องการจากโลกมากที่สุดจึงได้แก่เครื่องบินรบเพื่อไม่ให้รัสเซียทิ้งระเบิดใส่ยูเครนได้ตามใจ
ล่าสุด สหรัฐประสบความสำเร็จในการเจรจาจนโปแลนด์ยอมมอบเครื่องบินมิก-29 ตามที่รัฐบาลยูเครนขอ และถึงแม้โปแลนด์จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับรัสเซียโดยวิธีส่งเครื่องบินนี้ไปฐานทัพสหรัฐในเยอรมนี ในที่สุดสหรัฐก็จะอัพเกรดเครื่องบินนี้แล้วอำนวยการให้ยูเครนได้เครื่องบินอยู่ดี
แน่นอนว่าการจัดส่งเครื่องบินแบบนี้ต้องใช้เวลา ยุทธศาสตร์ที่ยูเครนต้องทำในตอนนี้จึงได้แก่การต้านการรุกรานของรัสเซียให้ได้มากที่สุด ยุทธวิธีของยูเครนจึงต้องทำให้รัสเซียไม่สามารถโจมตีเมืองหลวงยูเครนได้พร้อมกัน และนั่นหมายถึงการตรึงภาคใต้ของยูเครนไม่ให้ทัพรัสเซียบุกขึ้นมา
ความผิดพลาดของรัสเซียในการรุกรานครั้งนี้คือประเมินศักยภาพยูเครนต่ำเกินไป ยูเครนยันรัสเซียทั้งที่เสียเปรียบด้านกำลังและอาวุธแล้วสองสัปดาห์ นั่นเท่ากับว่าหากยูเครนได้ความสนับสนุนด้านอาวุธและกำลังพล ยูเครนอาจทำได้มากกว่าการยันกองทัพรัสเซียไม่ให้ยึดเมืองหลวงยูเครน
นอกจากรัสเซียจะมีสิทธิแพ้เพราะประเมินยูเครนต่ำเกินไป รัสเซียยังประเมินสหรัฐ, สหภาพยุโรป และนาโตต่ำไปด้วย การตอบโต้ทางเศรษฐกิจขั้นยกเลิกนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียแปลว่าสหรัฐและยุโรปจะต้องซื้อพลังงานแพงขึ้นจากแหล่งอื่น แต่ในที่สุดทุกฝ่ายก็ตัดสินใจอย่างที่ทำไป
ปัญหาของปูตินคือการปกครองรัสเซียแบบเผด็จการนานเกินไป และเมื่อไรที่ผู้นำเป็นเผด็จการ เมื่อนั้นประเทศก็จะถูกบริหารโดยคนที่ไม่ฟังเสียงอื่นๆ จนการตัดสินใจทั้งหมดผิดความเป็นจริงไปในที่สุด และนั่นคือสถานการณ์ที่จะทำให้รัสเซียปิดศึกยูเครนไม่สวยงามอย่างที่คาดการณ์
เป็นไปได้อย่างสูงที่ยูเครนจะชนะรัสเซีย ต่อให้จะยังบอกไม่ได้ว่าชัยชนะจะเกิดขึ้นในเวลาใดก็ตาม