ลตา มังเกศการ์ ไนติงเกลของอินเดียในความทรงจำ (จบ)/มุมมุสลิม จรัญ มะลูลีม

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม

จรัญ มะลูลีม

 

ลตา มังเกศการ์

ไนติงเกลของอินเดียในความทรงจำ (จบ)

 

เมื่อย้อนกลับไปถึงวันเวลาที่ลตาร้องเพลงในหนังกาจาบาฮู (Gajabhu) ซึ่งเป็นหนังมาราตี (Marthi) รัฐมหาราฏระในปี 1943 ไปจนถึงเพลง “อัยกา อัยกา อาเนวาลา” (Aayega aayega annavala) หรือใครบางคนควรเข้ามา พร้อมๆ ไปกับความจดจำของเสียงเพลงอันแสนไพเราะในหนังเรื่องมะฮัล

เสียงของลตาได้สร้างอาชีพให้กับนางเอกหลายคน ในบรรดานางเอกเหล่านี้ได้แก่ มธุบาลา (Madhubala) นาร์กิส (Norgis) มีนา กุมารี (Meena Kumari) ซีนาต อะมาน (Zeenat Aman) เรขา (Rekha) ศรีเทวี (Sridevi) และกาโจล (Kajol)

ความนิยมในตัวเธอยังไม่เคยจางหายไป นับจากหนังมะฮัล (1949) ไปจนถึงดิลวาลี ดุลฮันนิยา เล จัยเก (1995)

ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งนางเอกยอดนิยมใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทุกๆ ปีนั้น ลตายังคงยืนยงอย่างไม่สั่นคลอน ตลอดเส้นทางเธอมีผู้ร่วมเดินทางที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น ผู้อำนวยการเพลงชันเกอร์-ชัยกิเชน (Shanker Jai Kishen) และศิลปินร่วมสมัยอย่างมุฮัมมัด ราฟี และมุเกชห์ (Mukesh)

แต่เธอเป็นคนแรกที่ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เธอเป็นนักร้องอยู่เบื้องหลังมีความต่อเนื่อง และทำให้ชื่อของนักร้องที่อยู่เบื้องหลังหนังอินเดียถูกบันทึกเอาไว้ในคาสเส็ต อัลบั้ม CD ฯลฯ

สำหรับลตาแล้วมันมิใช่ความสำเร็จที่นับเป็นสถิติของเธอ มิใช่เพลงที่นับไม่ถ้วนที่ถูกบันทึกใน 18 ภาษา ไม่ใช่เพราะเธอเป็นนักร้องที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของดารามากกว่าครึ่งศตวรรษ

แต่เป็นเพราะความสามารถของเธอที่เธอสามารถนิยามเนื้อหาทั้งหมดของเพลงและสร้างนวัตกรรมแห่งโทนเสียงของเธอขึ้นมาได้

เพลงของเธอสร้างอารมณ์ร่วมให้แก่ผู้ฟังจนกระทั่งพวกเขาไม่อาจคิดถึงเรื่องอื่นได้นอกจากเสียงเพลงของเธอ

 

ลตาอยู่ในยุคสมัยของอินเดียใหม่ (Emerging India) อินเดียใหม่ที่ต้องการข้ามโทนเสียงทั้งหมดของชีวิต เป็นชาติที่ต้องการรูปแบบทางวัฒนธรรมซึ่งอาจรวมตัวเข้าด้วยกันมากกว่าการแบ่งแยกประเทศออกจากกัน

หากว่าหนังอินเดียจะมีเอกลักษณ์ของเนื้อหาที่แตกต่างกันนั่นก็เป็นเพราะหนังอินเดียมีคนร้องเพลงอยู่เบื้องหลัง และบ่อยครั้งที่เนื้อเรื่องของหนังอาจจะถูกลบเลือนไปได้บ้าง แต่บทเพลงและดนตรีจะไม่ถูกลืม

ลตามีความพร้อมอยู่ในสายเลือด เธอพร้อมที่จะเป็นคนสำคัญอยู่ในหนังอินเดียเพื่อเดินตามเส้นทางอันมีจุดหมายของเธอเอง

เธอทำงานร่วมกับผู้อยู่ในแวดวงของเสียงเพลงและดนตรีทุกคนอย่างชังเกอร์-ชัยกิเชน มาดาน โมฮัน (Madan Mohan) S.D เบอร์มาน (S.D Burman) เนาชาด (Naushad) กุลาม มุฮัมมัด (Ghulam Muhammad) เขมจันด์ ประกาศ (Kham-chand Prakash) อนิล บิสวาส (Anil Biswas) ค็อยยาม (Khayyam) ชัยเทพ (Jaidev) ลักษมีกันต์-พญาเรลาล (Laxmikent-Pyarelal) กัลญันจี-อนันจี (Kalyanji-Ananji) อาร์.ดี.เบอร์มาน (RD. Burman)

ความเป็นเอกภาพที่เธอเปล่งออกมาและความลึกซึ้งของบทเพลงแห่งความสำนึกในความเป็นอินเดียอย่างเอเมริ วะตัน เก โลโก (Amere watan ke logo) หรือโอ้ผู้คนในแผ่นดินของฉัน

เป็นบทเพลงที่ทำให้น้ำตาของเนห์รูนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียต้องไหลอาบแก้มมาแล้ว โดยเพลงนี้ประพันธ์โดยกวี ประทีป (Kavi Pradeep) และดนตรีโดยซี รามาจันทรา (C. Ramachandra)

อาจกล่าวได้ว่าเพลงอันทรงพลังนี้เป็นเพลงแห่งความรักชาติที่อยู่ในความทรงจำของชาวอินเดียอยู่ตลอดเวลา

ผู้มีพรสวรรค์ในเสียงเพลงอย่างนูร ญะฮัน (Noor Jahan) สุรัยญา (Suraiya) และกีตา ดัต (Geeta Dult) หากเทียบเคียงกับลตาก็จะพบว่ายังไม่มีใครเทียบเคียงกับเสียงของเธอได้ หรือยังไม่มีลตา มังเกศการ์ คนที่สองแต่อย่างใด

ลตา มังเกศการ์ คือเสียงของอินเดียโดยแท้จริงนั่นเอง

 

คงไม่ง่ายนักที่จะเปรียบลตากับศิลปินคนใดในประเทศอื่นๆ เนื่องจากลตามีส่วนร่วมอยู่ในวัฒนธรรม อารมณ์และชีวิตที่เต็มไปด้วยการอุทิศให้แก่ชาติของตนเอง

ดังนั้น นอกจากลตาจะเป็นตัวแทนของชาวอินเดียทุกคนแล้ว เธอยังเป็นตัวแทนของชาวอินเดียแต่ละคนอีกด้วย

สำหรับชาวอินเดีย ดนตรีก็คือบทกวีของผู้คนและเป็นท่วงทำนองของผู้คนในประเทศนี้ มันเป็นการบำบัดส่วนตัว และเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ ดูเหมือนเพลงจะถูกขับกล่อมออกมาจากทุกอารมณ์และทุกโอกาส โดยเนื้อหาของเพลงมีความหลากหลาย จากเรื่องราวของความภักดีสู่การทรยศหักหลัง จากความสุขสู่ความเศร้าสลด จากโศกนาฏกรรมสู่สุนทรียภาพ ฯลฯ

เราอาจจะมีความละเอียดอ่อนในเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ยากที่จะจินตนาการถึงชาวอินเดียไม่ว่าในช่วงอายุใด ที่รอยต่อของชีวิตด้านในของพวกเขาไม่ได้มีเรื่องราวอยู่ในเนื้อเพลงของบอลลีวู้ดและหนึ่งในเสียงนั้นก็มาจากเพลงของลตาอยู่เสมอ

ในบริบทดังกล่าว นักร้องที่อยู่เบื้องหลังหนังอินเดียอย่างลตาจึงได้รับสถานะที่ไม่เหมือนใคร

อาจมีผู้เขียนถึงเธอกันมามากแล้วเกี่ยวกับโทนเสียงและโพรงเสียงของเธอ

แต่ที่ผู้คนไม่เคยลืมเธอได้เลยก็คือความจริงที่ว่าเธอสามารถแสดงสิ่งที่เธอร้องออกมาอยางได้อารมณ์ มันมิใช่แค่เนื้อร้อง

แต่เป็นความแม่นยำของถ้อยคำและอารมณ์ที่อยู่ในเพลงของเธอที่ทำให้สิ่งที่เธอร้องออกมาได้อารมณ์ร่วมอย่างที่สุด

เธอเป็นผู้เติมเต็มให้กับชีวิตของชาวอินเดีย คนอินเดียบางคนกล่าวถึงเธอเอาไว้อย่างลึกซึ้งว่าความยิ่งใหญ่ของนักร้องที่อยู่เบื้องหลังก็คือผู้แสดงที่ไม่จำเป็นต้องแสดงจริงๆ

 

ความสำเร็จของเพลงในหนังอินเดียมาจากสามประการ ประการแรกคือความเป็นบทกวีที่ยิ่งใหญ่ ประการที่สองเสียงประกอบจากดนตรีที่มีความไพเราะ ประการที่สามคือการมีนักร้องที่มีความจริงใจซึ่งพร้อมจะขับขานบทกวีในเสียงเพลงออกมา ซึ่งลตามีพลังเหล่านี้อยู่ในตัวเธออย่างเต็มที่

ลตา มังเกศการ์ หรือไนติงเกลแห่งอินเดีย กลายเป็นศิลปินคนแรกของอินเดียที่ได้เปิดการแสดงของเธอขึ้นในเวทีการแสดงที่มีชื่อเสียงในกรุงลอนดอนอย่าง Royal Albert Hall ในปี 1974

เวทีนี้เป็นเวทีที่ลตาเลือกที่จะนำเสนอผลงานของเธอในต่างประเทศเป็นที่แรกๆ โดยมีผู้ชมเข้ามาชมการแสดงของเธออย่างเนืองแน่น

เธอเล่าว่า “นี่เป็นการแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกนอกอินเดีย ดิฉันค่อนข้างจะประหม่า แต่ก็ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอันอบอุ่น” เธอกล่าวสั้นๆ ด้วยภาษาฮินดี

ระหว่างการแสดง เธอได้บอกเล่าถึงความทรงจำของเธอที่มีร่วมกับดาราบอลลีวู้ดร่วมสมัย อย่างเช่น กิโชร กุมาร (Kshore Kumar) และเฮ็มมันต์ กุมาร (Hemmant Kumar) และการแสดงที่เธอแสดงร่วมกับนักดนตรีชั้นแนวหน้า อย่างเช่น เอส.ดี เบอร์มาน (S.D Burman)

นอกจากนี้ เธอยังได้พูดถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของชีวิตให้ผู้ชมระลึกถึงอินเดียที่พวกเขาจากมาอีกด้วย

คอนเสิร์ตครั้งนี้มีดิลิป กุมาร ซึ่งจากไปแล้วเป็นผู้แนะนำตัว ลตา มังเกศการ์ ซึ่งลตาเรียกดิลิปว่าพี่ยูสุฟ (Yusuf Bhai) ดิลิป กุมาร แนะนำแก่ผู้ชมในกรุงลอนดอนว่า

“ดุจเดียวกับความหอมของบุปผามาลีซึ่งไม่มีสี เช่นเดียวกับสายน้ำและสายลมซึ่งไม่มีพรมแดน และเช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ที่มิได้แบ่งแยกด้วยศาสนา เสียงของลตา มังเกศการ์ เป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์”

ดิลิป กุมาร หรือยูสุฟ กล่าวแนะนำเธอด้วยภาษาอุรดูก่อนที่เสียงปรบมืออันกึกก้องจะตามมา

 

คอนเสิร์ตที่แสดงสดนี้จัดโดยกองทุนเนห์รู (Nehru Memorial Fund) อันเป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงความทรงจำที่มีต่อนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย

เสียงเพลงจากการแสดงนี้มาจากหนังยอดฮิตของอินเดียที่เธอได้ร้องมาเป็นทศวรรษ รวมถึงเพลงอาจา เร ปาร์เดสี (Ajare Pardesi) หรือจงเข้ามาเถิด คนแปลกหน้าจากเรื่องมธุมาตี (Madhumati) อินฮิน โลกอน เน (Inhin Logon Ne) หรือคนเหล่านี้จากเรื่องปากีซาห์ (Pakezah) และอายากา อันนีวาลา (Aayaga Annewala) หรือใครจะมาเขาก็จะมาเองจากเรื่องมะฮัล

การบันทึกเสียงจากการแสดงสดนี้ได้ถูกบันทึกเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงถึง 133,000 อัลบั้ม

Royal Albert Hall เปิดตัวขึ้นเมื่อปี 1871 โดย Queen Victoria เพื่อรำลึกถึงพระราชสวามี Prince Albert เป็นเวทีการแสดงคอนเสิร์ต ซึ่งมีศิลปินระดับโลกมาแสดงอย่างต่อเนื่อง เป็นส่วนหนึ่งของ Albert Memorial ณ Kensington Gardens ที่ตั้งอยู่ตอนกลางของกรุงลอนดอน โดยเวทีแห่งนี้ได้เป็นเจ้าภาพให้แก่การแข่งขันกีฬาและการมอบรางวัลสำคัญๆ ของโลกมาแล้วอย่างต่อเนื่อง

ที่นี่คือเวทีของนักดนตรี นักเต้น และนักการเมืองที่มีชื่อเสียง ซึ่งต่างก็มาปรากฏตัวกันที่นี่ นับตั้งแต่เปิดการแสดงในปี 1871 เป็นต้นมา ผู้คน 1.7 ล้านคนมีประสบการณ์จากเวทีนี้ทุกๆ ปี รวมทั้งผู้ชมจำนวนมากที่รับชมผ่านการกระจายเสียง บันทึกเสียง และช่องทางการสื่อสารใหม่ๆ

แม้ว่าลตา มังเกศการ์ จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ไนติงเกลของอินเดียจะยังอยู่ในความทรงจำของชาวอินเดียและผู้ชื่นชมเสียงร้องของเธอตลอดไปชีวีนิรันดร