เผยแพร่ |
---|
มองโลกปี 2017 และหลังจากนั้น (32)
สงครามเย็นใหม่และสงครามเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย-จีนเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก
เนื่องจากเหตุปัจจัยและสถานการณ์แวดล้อมหลายประการ
ได้แก่
เหตุปัจจัยของสงครามเย็นใหม่และสงครามเศรษฐกิจ
ประกอบด้วย
ก)มีผลประโยชน์ขัดกันโดยพื้นฐาน นั่นคือสหรัฐต้องการรักษาความเป็นใหญ่ในการจัดระเบียบโลกไว้ เพราะแม้เห็นว่าตนจะอ่อนแอลง แต่ก็ยังคงเป็นชาติที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก
ส่วนรัสเซียและจีนนั้นไม่มีวันยอมอยู่ใต้การควบคุมกำกับของสหรัฐ ต้องการความเสมอภาคในความสัมพันธ์ และต้องการเขตอิทธิพลหรือเขตผลประโยชน์พิเศษของตนไม่ให้สหรัฐเข้ามาล่วงล้ำ
นอกจากนี้ ยังได้ขยายอิทธิพลของตนในเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย แอฟริกา และละตินอเมริกา
เขตอิทธิพลและเขตผลประโยชน์ของสองฝ่ายจึงทับซ้อนกันมากขึ้น
ข)ที่สำคัญยิ่งคือรัสเซีย-จีนได้ท้าทายต่อความเป็นใหญ่ของเงินดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ เช่นรัสเซีย เนื่องจากสหรัฐเข้ามาก่อ “การปฏิวัติสี” ในจอร์เจียและยูเครน (2003-2005) และแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจรุนแรงในปี 2014 ในกรณีสงครามยูเครน
ส่วนจีนเนื่องจากขนาดเศรษฐกิจเติบโตมากขึ้นจนเป็นรองแต่ของสหรัฐ จำเป็นต้องขยายฐานเศรษฐกิจของตนในด้านต่างๆ และเนื่องจากวิกฤติการเงินสหรัฐปี 2008 การท้าทายความเป็นใหญ่ของดอลลาร์ที่สำคัญ เป็นการปฏิบัติของจีนที่ใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อ “แยกตัว” กับดอลดาร์สหรัฐ หลัง วิกฤติ 2008
เช่น ปรับสัดส่วนทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศให้มีความหลากหลายขึ้น
ลดการผูกพันกับดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มทุนสำรองเป็นทองคำ
ระมัดระวังในการซื้อพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐ เคลื่อนไหวให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินระหว่างประเทศ ทำความตกลงทวิภาคีกับหลายชาติในการโอนเงินในการค้าโดยไม่ต้องผ่านเงินดอลลาร์ และเรียกร้องให้มีการสร้าง “อภิทุนสำรองแห่งชาติ” ที่จัดการโดยไอเอ็มเอฟ แทนเงินดอลลาร์
อนึ่ง มีนักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญการเงินของจีนชื่อ ซ่ง หง ปิง เคยเป็นนักวิเคราะห์ทางการเงินในตลาดหลักทรัพย์วอลสตรีต ได้เขียนหนังสือชื่อ “สงครามเงินตรา” (เผยแพร่ครั้งแรกปี 2007 ต่อมาได้ขยายเป็นชุดออกมาอีกหลายเล่ม หนังสือเขาขายดีติดอันดับในจีนและเขากลายเป็นนักเขียนที่รวยมากคนหนึ่งในจีน)
เขาเสนอว่าวิกฤติการเงินดังกล่าวนั้นแท้จริงเป็นการสมคบคิดระหว่างนักการเมืองและนายธนาคารสหรัฐที่ต้องการ “ทำสงครามเงินตรา” เพื่อ ขัดขวางการเติบโตของจีน
ชี้ว่าที่เรียกว่าธนาคารกลางสหรัฐนั้น ไม่ได้เป็นธนาคารของรัฐบาล หากแต่เป็นธนาคารกลางของธนาคารเอกชนที่ชักใยโดยนายธนาคารตะวันตกไม่กี่คน
กลุ่มนายเงินโลกเหล่านี้เป็น “ผู้ชนะ” ในเหตุการณ์ใหญ่ของโลกหลายครั้งรวมทั้งสงครามโลกสองครั้ง และวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ
เขายังกล่าวว่าแม้การถดถอยใหญ่ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในทศวรรษ 1990 และวิกฤติการเงินเอเชีย (วิกฤติต้มยำกุ้ง 1997) เป็นผลจากการริเริ่มของกลุ่มนายเงินโลกจำนวนน้อยนี้ หนังสือของเขามีบทบาทกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมทางเศรษฐกิจของจีนเป็นอันมาก (ดูบทความของ Melissa Murphy และ Wen Jin Yuan ชื่อ Is China ready to Challenge the Dollar? ใน csis.org 2009)
เพื่อรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป จีนได้เพิ่มปริมาณเงินหยวนในตลาดเป็นจำนวนมากเพื่อการลงทุนใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานที่ยังขาดอยู่ ทำให้จีนกลายเป็นหัวรถจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
จากนั้น จีนได้มีปฏิบัติการต่อเนื่อง ได้แก่ ก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (2014) สร้างระบบชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน (CIPS เปิดใช้ขั้นแรกปลายปี 2015) ซึ่งได้มาตรฐานสากลเทียบเท่ากับระบบบริการทางการเงินของสมาคมเพื่อการโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT ก่อตั้งปี 1973 อยู่ในการควบคุมของธนาคารกลางสหรัฐและตะวันตก และเป็นเครื่องมือในการแซงก์ชั่นประเทศตลาดเกิดใหม่)
ปฏิบัติการดังกล่าวทำให้เงินหยวนของจีนเป็นสากลยิ่งขึ้นในการค้าและการลงทุน ท้ายสุดจีนได้ประกาศอภิมหาโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งถนน” เป็นการเปรียบเทียบว่าจีนพร้อมเป็นผู้นำของกระบวนโลกาภิวัตน์ยิ่งกว่าสหรัฐ ที่คุกคามจะใช้ลัทธิปกป้องการค้า
สำหรับรัสเซียนั้นมีกำลังทางเศรษฐกิจไม่มากเท่า (ขนาดเศรษฐกิจอยู่ที่ลำดับ 12 เมื่อสิ้นปี 2016 ไทยอยู่ที่ 25) ได้เป็นพันธมิตรสำคัญในการท้าทายความเป็นใหญ่ของสหรัฐ
ในส่วนที่ทำได้ของรัสเซีย ได้แก่ การเคลื่อนไหวไม่ซื้อขายน้ำมันและก๊าซในสกุลดอลลาร์ ริเริ่มโครงการวางระบบท่อส่งก๊าซใหม่ไปยังยุโรปเหนือโดยตรง ไม่ต้องผ่านยูเครน ที่สหรัฐควบคุมอยู่ และสร้างระบบชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดนของตนสำเร็จ (มีนาคม 2017 เรียกว่าระบบเพื่อถ่ายโอนข่าวสารทางการเงิน หรือ SPFS) ซึ่งพร้อมใช้งานหากตะวันตกตัดไม่ให้ธนาคารรัสเซียใช้ระบบ “สวิฟต์”
นักวิเคราะห์บางคนเห็นการเคลื่อนไหวเหล่านี้ว่าเป็นความพยายามของจีนและรัสเซีย ในการสร้างระบบธนาคารทางเลือกขึ้นในโลก ซึ่งจะเป็นการทำลายสถาปัตยกรรมทางการเงินที่สหรัฐครอบงำอยู่ เป็นการ “แยกตัว” ระหว่างตะวันออกกับตะวันตก (ดูบทความของ James Corbett ชื่อ Russia and China Preparing Alternative Banking Architecture ใน theinternationalforcaster.com 16.04.2017)
การท้าทายทางเศรษฐกิจและการพยายามแยกตัวให้พ้นอิทธิทางเศรษฐกิจของสหรัฐนี้เป็นเหตุปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดสงครามเศรษฐกิจ
ประเด็นเรื่องดุลการค้าเป็นเพียงปลายเหตุ เป็นข้ออ้างที่มองเห็นได้ง่ายเท่านั้น
ดังนั้น ไม่ว่าจีนจะพยายามแก้ไขปัญหาดุลการค้าของสหรัฐเพียงใด ก็ย่อมไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจนี้หมดไป อย่างมากเพียงยืดเวลาการปะทะรุนแรงออกไปเท่านั้น
ค)สหรัฐทำสงครามจำกัด ทิ้งระเบิดและตั้งฐานทัพไปทั่วโลก ในที่สุดก็จะหมด “ประเทศชั่วร้าย” ที่จะต้องจัดระเบียบนำมาสู่ความอารยะ และต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับรัสเซียและจีนจนได้
ซึ่งในขณะนี้เผชิญหน้ากับรัสเซียในกรณียูเครนและซีเรีย
เผชิญหน้ากับจีนกรณีเกาหลีเหนือและไต้หวัน
และจะเผชิญหน้ากันในที่อื่นอีก เช่น ในอัฟกานิสถาน
มีบุคคลระดับสูงของรัสเซีย นายซามีร์ คูบาลอฟ ผู้แทนพิเศษของรัสเซียประจำอัฟกานิสถานออกมา เคลื่อนไหวให้สหรัฐถอนทหารทั้งหมดจากอัฟกานิสถาน โดยอ้างว่าสหรัฐ-นาโต้ ล้มเหลวในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่ยาวนาน 17 ปี จนทำให้อัฟกานิสถานกลายเป็น “แหล่งเพาะลัทธิก่อการร้ายระหว่างประเทศ”
และว่า “เมื่อสหรัฐไม่สามารถทำอะไรได้มากแล้ว ก็ควรออกจากอัฟกานิสถานไป”
นอกจากนี้ รัสเซียยังเห็นว่าสหรัฐควรล้มเลิกความคิดส่งทหารรับจ้างไปรบในที่นั้นด้วย เพราะย่อมไม่สามารถรบชนะพวกทาลิบันที่มีอุดมการณ์ชาตินิยมได้ การเคลื่อนไหวนี้พอดีสอดคล้องกับกลุ่มทาลิบันที่ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดีทรัมป์ ชี้ประเด็นและเรียกร้องคล้ายกัน (ดูบทความของ Tom O”Connor ชื่อ U.S Has Lost the War in Afghanistan and Should Withdraw Troops, Russia and Taliban Say ใน newsweek.com 15.08.2017)
ทางฝ่ายสหรัฐเองก็พยายามเพิ่มจุดเดือดใหม่ โดยการสนับสนุนอินเดียให้ขึ้นมาคานอำนาจจีนในภูมิภาคนี้
และได้ผลดีเมื่อ นายนเรนทรา โมที ผู้นำพรรคชาวภารตะที่ถือปฏิบัติลัทธิชาตินิยมฮินดูชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อสามปีมาแล้ว ขณะนี้อินเดียและจีนเผชิญหน้ากันบนที่ราบสูงดอกลัม (จีนเรียก ต้งหล่าง) บริเวณชายแดนอินเดีย ภูฏานและจีน
อยู่ในสถานการณ์ที่ “ไม่มีสงคราม ไม่มีสันติภาพ”
ง)ต่างฝ่ายรู้สึกว่าถอยไม่ได้ รัสเซีย-จีนรู้สึกว่าสหรัฐรุกล้ำมาถึงปากประตูบ้าน ที่ยูเครน คาบสมุทรเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น ส่วนสหรัฐรู้สึกว่าถ้าหากตนถอย พันธมิตรในตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และตะวันออกไกลก็จะพากันล้มระเนระนาดเหมือนโดมิโน ความเหนือกว่าทางเศรษฐกิจและเงินตราของตนจะละลายหาย จักรวรรดิของตนก็ล่มสลาย คล้ายจักรวรรดิโรมันที่ล่มสลายเมื่อเงินตราของตนเสื่อมค่า เงินตราที่เป็นเหรียญเงินมีแร่เงินผสมน้อยลงโดยลำดับ (ดูบทความของ Joseph R. Peden ชื่อ Inflation and the Fall of the Roman Empire ใน mises.org 07.09.2009)
กล่าวอย่างย่อ ยุทธศาสตร์สงครามเศรษฐกิจของสองฝ่าย คือ สหรัฐต้องการปิดล้อมขัดขวางการเติบโตของรัสเซีย-จีนด้วยกลไกและมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะสงครามการเงิน ขณะที่จีน-รัสเซียต้องการสร้างระบบการเงิน การธนาคารทางเลือกขึ้นมาแข่งขัน
สถานการณ์แวดล้อมทำให้สงครามเศรษฐกิจสหรัฐและรัสเซีย-จีนมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น ที่สำคัญได้แก่ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่งเห็นได้ชัดหลังวิกฤติการเงินโลก 2008
นักวิชาการบางคนเห็นว่าตกอยู่ในภาวะชะงักงันถาวรซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยหลายประการ
โดยรวมคือเกิดจากความจำกัดของระบบเศรษฐกิจโลกเอง ความจำกัดนี้พื้นฐานคือความจำกัดของทุนการเงิน (รวมนายทุนและผู้ประกอบการ) ความจำกัดของประชากรและแรงงาน (รวมเทคโนโลยี) ความจำกัดของทรัพยาการสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
จากความจำกัดพื้นฐานนี้นำมาสู่ความจำกัดทางการเมืองและอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยและโลกาภิวัตน์ โดยจะได้กล่าวสรุปเป็นอันดับไปดังนี้
1) ปัญหาการเงินโลกเริ่มแสดงตัวตั้งแต่ในทศวรรษ 1970 เมื่อสหรัฐยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำ สามารถออกเงินดอลลาร์ได้อย่างเสรี นำพาให้การเงินโลกเข้าสู่ความเสี่ยงมากขึ้นทุกที เกิดการเงินแบบแชร์ลูกโซ่ แพร่ระบาด เมื่อถึงปี 1997 ที่เกิดวิกฤติการเงินเอเชีย ก็ได้เห็นพ้องกันว่าสถาปัตยกรรมหรือโครงสร้างการเงินโลกนั้นมีปัญหามากและไม่ยั่งยืน เนื่องจากว่าการสร้างกำไรตามหน้าที่หลักของเงินทุน เกิดขึ้นจากการสร้างหนี้ก้อนที่ใหญ่กว่าและการเก็งกำไร การก่อหนี้ การเงินแบบแชร์ลูกโซ่และการเก็งกำไร เกิดผลกระทบต่อเนื่อง ได้แก่
ก) หนี้ก้อนใหญ่ขึ้น ย่อมชะลอการลงทุนและการบริโภคในที่สุด
ข) เกิดเงินร้อนที่ไหลเวียนไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ก่อให้เกิดการก่อหนี้และการลงทุนเกินตัวจนกลายเป็นวิกฤติใหญ่ได้
ค) การสร้างกำไรในท่ามกลางการขยายตัวของสินเชื่อหรือหนี้สิน ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้กับการเงิน เช่น บรรษัทใหญ่ สถาบันการเงิน มีความได้เปรียบทางข่าวสาร และความเร็ว ตักตวงกำไรได้มาก ทิ้งให้คนส่วนใหญ่ยากจน ขาดกำลังซื้อ ซึ่งนำมาสู่การชะลอตัวของการค้าและการลงทุน
2) ปัญหาประชากรและแรงงาน จากการบีบคั้นทางเศรษฐกิจ-สังคม เช่น การย้ายฐานการผลิตอุตสาหกรรมไปประเทศกำลังพัฒนา การมีรายได้ตึงตัวไม่พอรักษามาตรฐานการครองชีพระดับสูง มีส่วนให้อัตราการเกิดของประชากรในประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจโลกลดลง
ส่วนอัตราเกิดของประชากรในประเทศกำลังพัฒนาลดลงภายหลังเมื่อก้าวสู่การเป็นประเทศมีรายได้ปานกลางที่มีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น ทำให้ประชากรในวัยทำงานลดลง ที่เป็นวัยชราเพิ่มขึ้น ขาดกำลังการผลิตและการบริโภคระดับสูงเพื่อขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ในส่วนที่เป็นแรงงานก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร เช่น สหภาพแรงงานถูกขัดขวางทำลาย ทั้งมีการใช้การผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาแทนแรงงานมนุษย์ เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น ทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นน้อยกระทั่งลดลง ขาดกำลังซื้อ
3) ความจำกัดของที่ดินทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ได้ขัดขวางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่สำคัญคือ
ก) ความจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรเกินความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศโลก เกิดมลพิษ และความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมและเพิ่มต้นทุนการผลิตของสินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ อาหารพลังงานแร่ธาตุสูงขึ้น ทิ้งผู้คนที่ยากไร้จำนวนมากให้ขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ ก่อความคับแค้นไม่สงบทางสังคม
ข) เกิดความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งบางทีเรียกว่าสงครามชิงทรัพยากรที่ปะทุทั่วโลก เกิดสงครามจำกัดและการก่อการร้ายระหว่างประเทศ
ค) ภาวะโลกร้อน ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นทุกที
4) ความจำกัดทางการเมืองและอุดมการณ์ คือ
ก) กดดันให้รัฐทั่วโลกรวมทั้งในประเทศพัฒนาแล้ว กลายเป็นรัฐล้มเหลว
ข) เกิดวิกฤติการนำชนชั้นนำโลกไม่สามารถปกครองได้เหมือนเดิม
ค) อุดมการณ์เกิดวิกฤติ นั่นคือ อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยที่งอกงามจากอุดมการณ์ยุคแสงสว่างทางปัญญาในยุโรป เนื่องจากเกิดการรวมศูนย์ความมั่งคั่งและอำนาจในมือคนกลุ่มน้อยทั่วโลก ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม การสื่อสารกลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ การรุกรานกลายเป็นการปลดปล่อย ความละโมบ ความเกลียดชิงชังเพิ่มสูง ไหลเลื่อนไปสู่ยุคมิคสัญญีในที่สุด
ในสถานการณ์ที่ความสมบูรณ์พูนสุขกำลังเหือดหายไป ผู้นำโลกยิ่งเพิ่มมาตรการในการรักษาอำนาจและความมั่งคั่งของตนไว้ ทำสงครามเศรษฐกิจระหว่างกัน เพื่อริบความมั่งคั่งและอำนาจของผู้อื่นมาเป็นของตน สงครามนี้ไม่เพียงกระทำระหว่างชนชั้นนำ ที่สำคัญเป็นการกระทำกับชนชั้นล่างด้วย
ฉบับต่อไปกล่าวถึงสงครามสหรัฐ-รัสเซียและจีน และสงครามเงินตรา