ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
เตช บุนนาค
: การทูตไทยต้องมี ‘ความเป็นสากล’ มากกว่าที่เป็นอยู่
“การทูตไทย” เป็นหัวข้อที่ชวนวิเคราะห์วิพากษ์ถกเถียงกันเสมอมา
ยิ่งได้อ่านแนวทางวิเคราะห์จากนักการทูตอาวุโสอย่าง คุณเตช บุนนาค อย่างรอบด้านด้วยแล้วยิ่งได้ทั้งความรู้และความสนุกอย่างเหลือเชื่อ
หนังสือชื่อ “Thai Diplomacy : In conversation with Tej Bunnag” ที่ผมเพิ่งได้อ่านทำให้เข้าใจเสน่ห์, ความสลับซับซ้อนและความน่าฉงนกับความท้าทายของการทูตไทยอย่างพิสดารจริงๆ
หนังสือเล่มนี้ผู้สัมภาษณ์และทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการคือ คุณอนุสนธิ์ ชินวรรโณ อดีตเอกอัครราชทูต และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ หรือ International Studies Center (ISC) ของกระทรวงการต่างประเทศ
ในฐานะที่คุณอนุสนธิ์เป็นอดีตนักการทูต มีความรู้และประสบการณ์มายาวนาน (ตำแหน่งสุดท้ายคือเอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนาม) คำถามและข้อสังเกตในบทสนทนาของทั้งสองท่านจึงทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจได้อย่างดียิ่ง
หนังสือเล่มนี้ (ถึงวันนี้ยังเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น) แบ่งเป็น 6 บทว่าด้วยการทูตไทยในภาพรวม, ไทยกับโลก, ไทยกับอาเซียน, ไทยกับมหาอำนาจ, ไทยกับเพื่อนบ้าน และ “กระบวนการและภาพข้างหน้าของการทูตไทย”
แต่ละบทมีเนื้อหาที่น่าอ่านและศึกษาทั้งสำหรับนักการทูตและคนไทยในทุกสาขาวิชาชีพ
เพราะถ้าได้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่คุณเตชเล่าให้ฟังและวิเคราะห์เบื้องหน้าเบื้องหลังของกิจกรรมของกระทรวงการต่างประเทศแล้วก็จะเห็นว่ามีส่วนโยงใยกับทุกภาคส่วนของสังคมไทยจริงๆ
ที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือความเห็นของคุณเตชเกี่ยวกับบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศจากนี้ไป
เราควรจะเล่นบทอะไรและต้องปรับทัศนคติและท่าทีของเราอย่างไรในขณะที่โลกกำลังปรับเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สัมภาษณ์ถามว่าเมื่อมีคนมองว่าประเทศไทยวันนี้เป็นประเทศระดับกลางหรือ “Middle Power” ดังนั้น เราจึงควรจะมีบทบาทในเวทีโลกอย่างไรบ้าง
คุณเตชตอบว่าธนาคารโลกหรือองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ในปารีสได้จัดเราให้เป็น “ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายได้ปานกลางระดับบน” (upper middle income oil importing country)
ถ้าเราตัดประเด็น “การนำเข้าน้ำมัน” ออกไป เราก็จะเป็นประเทศ “รายได้ปานกลางระดับบน”
มีข้อสังเกตว่ามีคำว่า “กลาง” อยู่ด้วย
คำเรียกขานอย่างนี้น่าจะถือว่าค่อนข้างจะใกล้เคียงความเป็นจริง
หากดูจากสถิติของ OECD และธนาคารโลกกับ IMF จะเห็นว่าตัวเลข GDP ของไทยเราอยู่ระหว่างลำดับที่ 19 หรือ 20 จากทั้งโลกเกือบ 200 ประเทศ
ในแง่เศรษฐกิจ, เราก็ถูกวางไว้ที่ใกล้ๆ กับ 20 อันดับต้นของโลก ขึ้นๆ ลงๆ เล็กน้อยปีต่อปี
ในฐานะประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง เราก็ควรจะเป็นประเทศ “อำนาจกลางระดับบน” และไม่ใช่ “อำนาจที่มีผลประโยชน์จำกัด” เช่นที่เราถูกกำหนดให้เป็นในการประชุมใหญ่ที่แวร์ซายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
“แต่เรากลับไม่ปฏิบัติตนให้ทัดเทียมกับสถานภาพทางเศรษฐกิจของเรา” คุณเตชบอก
หรือจะว่าไปแล้ว เราก็ “ต่ำกว่ารุ่น” ทั้งๆ ที่เราควรจะชกในรุ่นที่มีน้ำหนักมากกว่านี้
แต่การชกต่ำกว่ารุ่นก็สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ทางการทูตของเรา
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเรามักจะชอบเอาตัวเอง “ห่างจากจอเรดาร์”
นั่นคือเรามักเลือกที่จะไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจเพื่อว่าเราจะได้ไม่ตกอยู่ในภยันตราย
คุณเตชบอกว่า “แต่ผมคิดว่าเราเจียมเนื้อเจียมตัวเกินไป เพราะมันไม่ได้สะท้อนถึงฐานะที่แท้จริงของเราในเวทีระหว่างประเทศ”
ในทางกลับกัน ก็มีบางประเทศที่ชกข้ามรุ่น เช่น ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมักจะมีเสียงดังกว่าฐานะทางเศรษฐกิจของพวกเขาเพราะพวกเขาเป็น “พลเมืองดี” ของโลก
ณ ปี 2021 (ขณะที่พูดอยู่นั้น) “ผมไม่คิดว่าการทูตไทยสอดคล้องกับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเรา”
คุณเตชบอกว่าท่านเองได้สนับสนุนให้คนไทยมีบทบาทมากขึ้นในองค์กรระหว่างประเทศ
แม้ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ไทยมากพอที่สำนักเลขาธิการอาเซียนในกรุงจาการ์ตา
“ผมปลื้มใจมากทุกครั้งเจ้าหน้าที่ไทยทำงานได้ดีที่สำนักเลขาธิการอาเซียน”
นอกจากสำนักเลขาธิการอาเซียนแล้ว คุณเตชเห็นว่าควรจะมีคนไทยมากขึ้นในหน่วยงานของสหประชาชาติและหน่วยงานเฉพาะทางอื่นๆ
บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับชาติภูมิของคนไทย
คนไทยมักชอบที่จะอยู่กับบ้านแทนที่จะไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์กรนานาชาติ
คุณเตชบอกว่า ตอนที่ท่านเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส กระทรวงถามเคยถามว่าสนใจจะสมัครแข่งขันตำแหน่งสูงสุดของ UNESCO ไหม
“ผมปฏิเสธ ผมไม่มีความประสงค์จะเป็นเจ้าหน้าที่ในองค์กรระหว่างประเทศ”
ท่านยอมรับว่านั่นเป็นท่าทีทางลบที่ไม่ถูกต้อง
“ผมทราบว่าท่านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำปารีสขณะนั้นจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งนี้ ผมไม่เพียงแต่รู้ว่าท่านมีความสามารถมากกว่าผม อาวุโสกว่าผมเท่านั้น แต่ผมยังรู้ด้วยว่ารัฐบาลของท่านสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่ พร้อมด้วยทรัพยากรทั้งสิ้นทั้งปวงในฐานะเป็นประเทศที่บริจาคเงินช่วยเหลือให้กับ UNESCO ผมเชื่อว่ายังไงๆ ท่านก็ชนะแน่…”
อย่างไรก็ตาม คุณเตชก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องของทัศนคติ และทัศนคติของคุณเตชตอนนั้นไม่ถูกต้อง
“ผมควรจะลงสมัครแข่งขันกับเขา และนำเสนอความเห็นและวิสัยทัศน์ของเราต่อ UNESCO ให้โลกได้รับทราบ…แต่ก็มีประเด็นว่า : ณ ขณะนั้น จุดยืนและวิสัยทัศน์ของประเทศไทยต่อ UNESCO คืออะไร? ถ้าผมลงแข่งขัน ท้ายสุดผมก็คงจะมีจุดยืนและวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้…”
ประเด็นที่คุณเตชต้องการเน้นก็คือประเทศไทยยังไม่มีกรอบความคิดแบบสากลเพียงพอ
คุณเตชใช้คำว่า international outlook ซึ่งอาจแปลว่า “วิธีคิด” หรือ “มุมมอง” หรือ “จุดยืน”
อีกนัยหนึ่งคุณเตชมองว่าไทยเรามีแนวโน้มที่จะ “มองเข้าหาตัวเอง” (inward-looking) หรือ “คำนึงแต่เรื่องของเราเอง” (concerned with just ourselves)
ทั้งๆ ที่สถานภาพทางเศรษฐกิจของเราเรียกร้องให้เราต้องทำมากกว่านั้นมาก
คุณเตชเชื่อว่าประเทศไทยควรจะต้อง “เป็นสากล” หรือ internationalist มากกว่านี้ แต่วันนี้ไทยยังไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น
ตอนที่เป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ คุณเตชเล่าว่าเป็นจังหวะที่จะมีการเลือกตั้งตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติพอดี
หนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านของเราเสนอระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่ Kota Kinabalu มาเลเซียว่า ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้นควรจะลงแข่งชิงตำแหน่งนี้
พอกลับมาถึงเมืองไทย ดร.สุรเกียรติ์ถามคุณเตชว่าจะเอายังไงดี
คุณเตชตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า “go for it” (ลุยเลย!)
ดร.สุรเกียรติ์ถามกลับว่าทำไมหรือ
คุณเตชบอกว่า แม้ว่าจะแพ้แต่ก็จะทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักระดับโลกระหว่างการรณรงค์หาผู้สนับสนุน
และจะเป็นสิ่งที่ดีมากที่จะให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในระดับโลก (higher profile)
หลังจากนั้น ดร.สุรเกียรติ์ก็ไปคุยกับนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
ท่านบอกว่านายกฯ ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกัน
ท้ายที่สุดแม้ว่าผู้สมัครจากเกาหลีใต้จะชนะการแข่งขัน แต่ประเด็นของคุณเตชก็คือประเทศไทยต้องส่งเสริมให้คนไทยพยายามมีตำแหน่งหน้าที่งานการในองค์กรระหว่างประเทศ
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือคุณเตชต้องการตอกย้ำว่าประเทศไทยและคนไทยจะต้องสร้างทัศนคติที่มีกว้างขึ้นในระดับสากล
(สัปดาห์หน้า : ไทยต้องทำตัวอย่างไรกับมหาอำนาจที่แข่งขันกันอยู่)