ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 กุมภาพันธ์ 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | การเมืองวัฒนธรรม |
ผู้เขียน | เกษียร เตชะพีระ |
เผยแพร่ |
การเมืองวัฒนธรรม
เกษียร เตชะพีระ
รายงานความเหลื่อมล้ำโลก 2022 (3)
ความมั่งคั่งสาธารณะ
ถูกถ่ายโอนไปให้เอกชนอย่างน่าวิตก
รายงานความเหลื่อมล้ำโลกปี 2022 ของห้องทดลองความเหลื่อมล้ำโลก (https://wir2022.wid.world/) ชี้ให้เห็นลักษณะน่าสังเกตอีกด้านของความเหลื่อมล้ำโลก กล่าวคือ เป็นเวลาสี่สิบปีมาแล้วที่ประเทศทั้งหลายมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ทว่ารัฐบาลของประเทศเหล่านั้นกลับยากจนลงโดยสุทธิ
ทั้งนี้ มูลเหตุเกิดจากหลายทศวรรษหลังมานี้ มีการถ่ายโอนทรัพย์สินสาธารณะไปให้ภาคเอกชนอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น ทรัพย์สินสุทธิของเอกชน (อสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ทางการเงิน) จึงเพิ่มขึ้นอย่างระเบิดเถิดเทิง เช่น ในสหรัฐอเมริกา มันเพิ่มจาก 326% ของรายได้ประชาชาติสหรัฐเมื่อปี 1970 ไปเป็น 592% ในปี 2020 ส่วนในยุโรป ตัวเลขเดียวกันเพิ่มจาก 312% ไปเป็น 633% ในกรณีฝรั่งเศส และเพิ่มจาก 230% ไปเป็น 502% ในกรณีเยอรมนี
ทว่าในช่วงสี่สิบปีเดียวกัน ทรัพย์สินสุทธิของสาธารณะ (อาคารสิ่งก่อสร้าง, ที่ดิน, ส่วนของวิสาหกิจที่รัฐถือครอง หักลบด้วยหนี้สาธารณะ) กลับตกดิ่งลง กล่าวคือ จาก 111% ของรายได้ประชาชาติ ลดเหลือเพียง 18% ในกรณีเยอรมนี และกระทั่งติดลบในกรณีฝรั่งเศส (-13%) สหรัฐอเมริกา (-60%) และสหราชอาณาจักร (-106% ดูแผนภูมิด้านบนประกอบ)
การที่ราคาอสังหาริมทรัพย์และดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มสูงกว่าแต่ก่อนมีส่วนช่วยสมทบให้ทรัพย์สินภาคเอกชนเฟ้อขึ้น รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของเอกชนด้วยในระดับหนึ่ง
แต่กระนั้น ในทศวรรษหลังๆ นี้ ปัจจัยสำคัญเหนืออื่นใดซึ่งอธิบายการทรุดต่ำลงของทรัพย์สินสุทธิของสาธารณะได้แก่หนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้น
และซ้ำร้ายโรคโควิด-19 ระบาดทั่วโลกในสองปีหลังนี้ก็ยิ่งเร่งเร้าแนวโน้มดังกล่าวให้เร็วและแรงขึ้น โดยไปลดทอนรายได้ประชาชาติลงและเพิ่มพูนหนี้ภาครัฐขึ้นอีก
ความเปลี่ยนแปลงในทำนองภาครัฐจนกรอบลงแต่ภาคเอกชนกลับอู้ฟู่ขึ้นนี้สังเกตเห็นได้ในบรรดาประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีนด้วย ดังปรากฏว่าทรัพย์สินภาคเอกชนของจีนพุ่งพรวดจาก 120% ของรายได้ประชาชาติจีนในปี ค.ศ.1978 ไปเป็น 526% ในปี 2020
มีประเทศอุตสาหกรรมเพียงหยิบมือเดียวที่พ้นไปจากแนวโน้มนี้ อาทิ นอร์เวย์ซึ่งขุดค้นพบแหล่งน้ำมันปิโตรเลียมในทะเลเหนือ มีปริมาณมากพอให้นอร์เวย์ใช้ไปได้อีก 69 ปี ณ อัตราบริโภคน้ำมันปัจจุบัน จึงช่วยป้อนเลี้ยงกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศได้อักโข
(https://www.worldometers.info/oil/norway-oil/ & https://mgronline.com/business/detail/9600000052931)
ผู้หญิงได้รับเพียง 35%
ของรายได้จากการทำงานทั่วโลก
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างชาย-หญิงนั้นแสดงออกได้หลายรูปแบบ เช่น เข้าถึงการจ้างงานได้แตกต่างกัน, จำนวนชั่วโมงทำงานไม่เท่าเทียมกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักวิจัยของรายงานความเหลื่อมล้ำโลก 2022 รวมศูนย์ความสนใจไปที่ดัชนีชี้วัดตัวหนึ่ง ได้แก่ ช่องว่างของรายได้จากการทำงานระหว่างชาย-หญิง ซึ่งนับรวมทั้งเงินเดือน ค่าจ้างและสัดส่วนของการทำงานที่คำนวณจากรายได้ของคนทำงานอิสระ
โดยเฉลี่ยแล้ว รายงานพบว่าผู้หญิงทุกวันนี้ (ช่วงปี 2015-2020) ได้รับรายได้จากการทำงานคิดเป็นสัดส่วน 35% ของรายได้จากการทำงานโดยรวมทั่วโลก (สัดส่วนรายได้ของผู้ชาย = 65%) ซึ่งแทบไม่เพิ่ม ขึ้นเลยเมื่อเทียบกับเมื่อปี 1990
สัดส่วนรายได้จากการทำงานของผู้หญิงก้าวไปไกลที่สุดในภูมิภาคยุโรปตะวันตก (จาก 31.4% มาเป็น 38.1%) นับแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ทั้งนี้เพราะความก้าวหน้าด้านความเสมอภาคทางวิชาชีพที่ได้แรงผลักดันจากกฎหมายด้วยส่วนหนึ่ง ที่อเมริกาเหนือ ผู้หญิงก็บรรลุระดับสัดส่วนรายได้ใกล้เคียงกัน (38.3%)
ทว่าที่สูงเด่นสะดุดตากว่าเพื่อนได้แก่ภูมิภาครัสเซียกับเอเชียกลางที่ผู้หญิงได้สัดส่วนรายได้จากการทำงานถึง 40.5% ของทั้งหมด ตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างคงที่อยู่ตัวมาสามสิบปีแล้วโดยเป็นมรดกตกทอดของแนวนโยบายสมภาคนิยมจากยุคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตแต่ก่อน
ในทางกลับกัน สัดส่วนรายได้จากการทำงานของผู้หญิงต่ำเตี้ยเป็นพิเศษในภูมิภาคตะวันออกกลางกับแอฟริกาเหนือ (แค่ 14.8%) เนื่องจากสัดส่วนของงานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ตอบแทน (โดยเฉพาะงานบ้านในครัวเรือน) ตกหนักหนาสาหัสแก่ผู้หญิง คิดเป็นกว่าวันละ 5 ชั่วโมง เทียบกับแค่ไม่ถึงชั่วโมงต่อวันสำหรับผู้ชาย
จีนนับเป็นประเทศเดียวที่ปรากฏว่าสัดส่วนของรายได้จากการทำงานที่ตกเป็นของผู้หญิงลดน้อยถอยลงนับแต่ปี 1990 ถึงปัจจุบัน คือจาก 38.8% เหลือ 33.6% ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการผ่อนคลายนโยบายลูกคนเดียวของทางการรัฐ-พรรคจีนนับแต่ปี 2013 เป็นต้นมา ส่งผลบั่นทอนการจ้างงานผู้หญิงลง ประกอบกับเหตุปัจจัยอื่นๆ
(ต่อสัปดาห์หน้า)