เผยแพร่ |
---|
ชะตากรรมที่ สมปอง นครไธสง กำลังประสบ แทบไม่แตกต่างไปจาก ชะตากรรมที่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้เผชิญมาแล้ว
เพียงแต่กรณี สมปอง นครไธสง เป็นเรื่อง”ผลประโยชน์”
ขณะที่กรณีของ ไพรวัลย์ วรรณบุตร อาจเป็นเรื่องของจริตเป็นเรื่องของความชอบ ความไม่ชอบ
แต่ไม่ว่ากรณีของ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ไม่ว่ากรณีของ สมปอง นครไธสง ในที่สุดแล้วก็มาจากองค์ประกอบอันเป็นภาวะ อ่อนด้อยและความไม่เดียงสาอย่างเพียงพอในประสบการณ์ใหม่
นั่นก็คือ สมปอง นครไธสง เองก็มิได้เฉลียวอย่างเพียงพอว่าที่มีการหยิบยื่นผลประโยชน์มาให้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจนั้นจะมีอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
นั่นก็คือ ไพรวัลย์ วรรณบุตร อาจมิได้สำเหนียกอย่างเพียงพอว่า ในการไหลบ่าเข้ามาของแต่ละเวทีในการแสดงออกจะประสบกับ
แรงเสียดทานมากน้อยเพียงใด
และแรงเสียดทานนั้นก็มิได้เป็นเรื่องของ”ผลประโยชน์”อย่าง เดียว หากแต่แฝงมาพร้อมกับ”อุดมการณ์”และความเชื่อ
ต้องยอมรับว่าการดำรงอยู่ในห้วงแห่งเป็น”สมณะ” กับการดำรงอยู่ในสถานะของ”ฆราวาส” ก่อผลสะเทือนและแรงกระทบแตกต่างกัน เป็นอย่างมาก
เมื่ออยู่ใน “ผ้าเหลือง” ไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ไหนมีแต่คนยกมือไหว้ให้ความเคารพ
ตรงกันข้าม เมื่อสละจากโลกอันสะอาดบริสุทธิ์เข้ามาดำรงอยู่ในพื้นที่ของปุถุชน แทนที่จะมีคนยกมือไหว้ เป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจต้องยกมือแสดงความคารวะก่อน
ที่แหลมคมเป็นอย่างมากก็คือ พื้นที่ที่ทั้ง ไพรวัลย์ วรรณบุตร และ สมปอง นครไธสง เข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยจัดว่าอยู่ในพื้นที่
อันเรียกว่า”ทุนนิยม”ซึ่งมากด้วย”ผลประโยชน์”
แท้จริงแล้ว โลกที่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร เข้ามา โลกที่ สมปอง นครไธสง เหยียบย่างก้าวเดินไป เป็นโลกอันมากด้วยหนามไหน่
“อันตราย”จึงรออยู่แทบจะทุกย่างก้าว ยากจะหลุดรอดไปได้
นี่ย่อมมิใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ ไม่ว่าจะมองผ่านกลไกแห่ง”ผลประ โยชน์” ไม่ว่าจะมองผ่านกลไกแห่ง”ชื่อเสียง” ที่สำคัญมีคนดักซุ่มเพื่อฉกฉวยตลอดสองรายทาง
เพียงก้าวแรกที่เหยียบลงมาต่างก็ได้”บทเรียน”อย่างร้อนแรง