ทางรอดอยู่ในครัว : ก็แค่กางร่มไปทำครัว / ครัวอยู่ที่ใจ : อุรุดา โควินท์

ครัวอยู่ที่ใจ

อุรุดา โควินท์

 

ทางรอดอยู่ในครัว

: ก็แค่กางร่มไปทำครัว

 

ฝนตกตั้งแต่เมื่อคืน มีลูกเห็บด้วย ครั้นรุ่งเช้า เราก็ได้ยินเสียงฝนโครมคราม โชคดีที่ฉันเปิดแอร์ห้องตากสบู่ไว้ และเปิดเครื่องทำความชื้น สบู่จึงแห้งสบายอยู่บนชั้นตาก เป็นความจริงที่สบู่คุณภาพดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับส่วนผสมเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับการตากสบู่ด้วย ฉันพบว่า ถ้าเราตากในห้องที่เปิดแอร์ (บ้าง) สบู่จะมีคุณภาพดีขึ้นอีก

ในฤดูฝน กับฤดูหนาว เราไม่ต้องการแอร์ แต่เรายังต้องเปิดแอร์ให้สบู่ เรายอมเสียค่าไฟเพื่อให้คุณภาพสบู่ดีที่สุด

“อย่าทำกับข้าวเลย ฝนตกแบบนี้ เดี๋ยวออกไปซื้อโจ๊กมากิน” เขาว่า

“ไม่” ฉันสั่นหัวแรง ยืนยันคำว่าไม่

โจ๊กขึ้นราคาทันทีตามหมู ขึ้นทีละ 5 บาท รวมทั้งอาหารอื่นด้วย และไม่เห็นจะอร่อย

“เราไปจ่ายตลาดมาเมื่อวาน มีกุ้ง มีซุปที่ต้มไว้แล้ว มีผัก” ฉันบอกเขา

ฉันไม่ยอมให้ฝนทำลายความตั้งใจของฉัน ครัวของเราสะดวกสบายทุกอย่าง ก็แค่กางร่มไปทำ เผลอๆ กว่าจะเสร็จ ฝนก็หยุดตก

ฉันรู้ว่าเขาไม่อยากให้ฉันยุ่งยาก แต่ฉันไม่เคยรู้สึกว่าการเดินกางร่มไปทำอาหารในครัวเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ที่ฉันทำใจได้ยากมาก ก็คือวัตถุดิบที่เราซื้อมาเมื่อวานยังไม่ได้ใช้

อาหารสำเร็จรูปขึ้นราคา วัตถุดิบในตลาดก็เช่นกัน ไม่ได้ขึ้นแค่หมู แต่ขึ้นทุกอย่าง โดยพร้อมเพรียง 500 บาทในตลาดสดนั้น เราแทบไม่เห็นของ ทุกครั้งที่ไปตลาด เราต้องเตรียมอย่างน้อยหนึ่งพัน และบอกตัวเองว่า เอากลับมาทำเป็นอาหารให้คุ้มค่า

มื้อเช้า เราจึงได้กินข้าวต้มกุ้งและหมูสับ ซึ่งเขากินเสียสองชาม ฉันบอกแล้ว ดีกว่าออกไปซื้อโจ๊กอย่างไม่ต้องสงสัย

 

มื้อกลางวัน เขาอยากกินข้าวซอย ฉันก็เลยตามใจเขา ฝนหยุดพอดี ถ้าเขาจะออกไปติดฟิล์มให้โทรศัพท์ และซื้อข้าวซอยเจ้าประจำมากินด้วย ฉันก็โอเค มื้อเย็นค่อยว่ากัน

ออกไปราวครึ่งชั่วโมง เขาโทร.มาบอกว่า ร้านข้าวซอยปิด ทำอย่างไรดี

“ไม่ต้องทำอะไรเลย กลับมากินข้าวที่บ้าน แล้วก็ ถ้าผ่านร้านกล้วยปิ้ง แวะซื้อมาด้วยนะ” ฉันบอกแล้วรีบลุกไปหุงข้าว

ลึกๆ แล้ว ฉันดีใจที่ร้านข้าวซอยปิด เราจะได้กินข้าวใหม่ กับอะไรสักอย่างที่ทำจากของในตู้เย็น

เขากลับบ้านมาพร้อมกับกล้วยปิ้ง และหมูยอ “เผื่อว่าขี้เกียจทำ เรากินข้าวกับหมูยอก็ได้” เขาว่า

ฉันหัวเราะ คำว่าขี้เกียจทำอาหารไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของฉัน โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจและสังคมแบบนี้ แต่ฉันชอบหมูยอเจ้านี้มาก

“เดี๋ยวเราจะอุ่นหมูยอกินกับอะไรสักอย่าง”

 

ฉันเดินเข้าครัว ใจอยากกินผัดแตงกวา เพราะแตงกวาที่ซื้อมาเมื่อวานลูกเล็ก สด น่ากินมาก ผัดแตงกวากับไข่ก็ง่ายดี

อา เมื่อวานเย็นเรากินจิ้มจุ่ม มีข้าวโพดอ่อนเหลือ ควรจับลงกระทะด้วย มีใครผัดบ้างนะ แตงกวากับข้าวโพดอ่อน ก็ฉันนี่ไง

ของกินได้รวมกับของกินได้ ย่อมกินได้ เป็นหลักการอันเหนียวแน่นของฉัน

มีหมูเหลือจากจิ้มจุ่มเมื่อวานด้วย หมักไว้อย่างดี ชิ้นออกจะใหญ่หน่อย เอาล่ะ ตัดสินใจได้ล่ะ ผัดให้มันเกือบจะเป็นผัดเปรี้ยวหวานก็แล้วกัน

หยิบมะเขือเทศออกจากตู้เย็นด้วยหนึ่งลูก และหอมหัวใหญ่อีกหนึ่งลูก

แตงกวาหั่นเฉียงๆ ข้าวโพดอ่อนก็หั่นเชียง หอมใหญ่หั่นตามยาว ให้บางหน่อย มะเขือเทศก็เช่นกัน ต้นหอมไม่มี ข้ามไป ไม่เป็นไร แน่ใจว่าอร่อย

กำลังจะจับกระเทียมมาตำ แต่ตาเหลือบไปเห็นกระเทียมเจียวที่เหลือจากทำข้าวต้มมื้อเช้า โอเค ใช้อันนี้ไปเลย

ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันนิดหน่อย พอกระทะเริ่มร้อน ก็ใส่หมูหมักกับกระเทียมเจียวลงไป

ผัดให้หมูสุก แล้วใส่แตงกวากับข้าวโพดอ่อน ผัดไฟแรงๆ เติมน้ำซุปลงกระทะสักนิด

พอข้าวโพดสุกไปครึ่งทาง ฉันก็เทมะเขือเทศ กับหอมหัวใหญ่ลงไป เติมซุปอีกหน่อย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย น้ำมันหอยไม่ต้อง

ผัดให้มะเขือเทศออกรส ซึ่งหมายถึงเละนิดๆ จะได้มีรสเปรี้ยวอย่างนุ่มนวลในผัด

ตักใส่ชามสลัดใบโปรด ต้องใช้ชามสลัด เพราะผัดออกมาแล้วเยอะมาก

 

พอเขาเห็นผัดผัก เขาก็รีบตักข้าว

“คล้ายๆ ผัดเปรี้ยวหวานน่ะ แต่ไม่มีสับปะรด” ฉันบอก

“แค่ผัดผักก็พอ มันเยอะมาก ดูน่ากินด้วย” เขาว่า “หมูยอเอาไว้ก่อน”

ฉันวางจานผัดผักใกล้แจกัน มันดูน่ากินขึ้นมากเมื่อมีดอกไม้

ดอกไม้-ถ้าถูกใจ เป็นสิ่งที่ฉันยอมจ่ายเสมอ ช่วยชุบชูใจได้ดียิ่ง และอย่างทันที

ตอนนี้เราใช้แจกันหมดบ้าน และมีกุหลาบเต็มบ้าน ฉันเพิ่งเจอสวนกุหลาบในเชียงราย เป็นสวนขายต้น และตัดดอกขายด้วย ถ้าเราสั่ง เขาจะตัดดอกทั้งหมดที่บานในวันนั้นให้เรา ซึ่งบังเอิญว่าครั้งนี้เยอะมาก

ปักดอกไม้จนเหนื่อย ปักจนไม่มีแจกันจะปัก แต่เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ทำให้บ้านน่าอยู่ขึ้น และทำให้เจริญอาหารขึ้น

“ดีอ่ะ ไม่ต้องใส่สับปะรดก็ได้” เขาบอก

“เพราะปกติก็ไม่กินสับปะรดใช่มั้ย”

เขาหัวเราะ “ใช่ๆๆๆ ผัดแบบนี้อร่อยดี”

อร่อย ได้ใช้วัตถุดิบคุ้มค่า และไม่เสียตังค์ ถ้าเราไม่เรื่องมากกับอาหาร อาหารก็ไม่เรื่องมากกับเรา