ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มกราคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ
สุทธิชัย หยุ่น
ย้อนนาทีชวนสยอง
: ถ้าทรัมป์กดปุ่มนิวเคลียร์
นายทหารมะกันห้ามได้ไหม?
รายละเอียดหลายตอนในหนังสือ Peril โดยนักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ Bob Woodward และ Robert Costa ที่เพิ่งวางตลาดเมื่อเร็วๆ นี้เป็นการเปิดโปงหลายช่วงตอนที่สร้างความหวาดเสียวว่าโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเปิดศึกนิวเคลียร์กับชาติใดชาติหนึ่งเพื่อรักษาตำแหน่งของตนหรือไม่
วันที่ 6 มกราคม 2021 ก่อนที่โจ ไบเดน จะรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ 14 วัน ผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แพ้เลือกตั้งก่อจลาจลด้วยการบุกถล่มตึกรัฐสภา
เป็นภาพความวุ่นวายที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก
แม้กระทั่งผู้นำทหารจีนเองก็ยังหวั่นเกรงว่าทรัมป์อาจจะสร้างสถานการณ์ความรุนแรง ณ จุดใดจุดหนึ่งในโลกใบนี้เพื่ออ้างอำนาจของตนในการประกาศภาวะฉุกเฉิน
และอาจจะยึดอำนาจการปกครองไว้กับตนเอง ไม่ส่งไม้ต่อให้ไบเดน
เป็นแนวคิดที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในอเมริกา
แต่สำหรับพลเอกมาร์ก มิลเลย์ ในฐานะประธานเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐแล้ว
ไม่ว่า “ฉากทัศน์” อย่างนั้นจะเข้าข่าย “ไม่น่าจะเป็นไปได้” แต่ก็ประมาทไม่ได้
เขาจึงใช้เบอร์ลับโทร.หานายพลหลี่ จั๊วเฉิง หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการทหารของกองทัพจีนที่ปักกิ่ง
เพื่อบอกกล่าวในฐานะนายทหารด้วยกันว่าอย่าได้ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่วอชิงตัน
นายพลจีนคนนี้เคยแสดงความกังวลว่าทรัมป์อาจจะโจมตีจีนเพื่อสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดเพื่อใช้อ้างปฏิบัติอะไรบางอย่างในประเทศสหรัฐเองก็ได้
นายพลมิลเลย์ยืนยันกับนายพลหลี่ว่า “อย่าระแวงสงสัย สถานการณ์ในบ้านผมยังอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ครับ…”
แต่ในความเป็นจริงนั้น หนังสือเล่มนี้เปิดโปงรายละเอียดหลายประเด็นที่สะท้อนว่าสถานการณ์ในอเมริกาช่วงนั้นอยู่ในภาวะ “ไม่ปกติ” จริงๆ
หนึ่งในคนที่ต้องการต่อสายคุยโดยด่วนกับนายทหารอาวุโสคนนี้คือแนนซี่ เพโลซี แห่งพรรคเดโมแครต ประธานสภาผู้แทนราษฎรและนักการเมืองที่มีประสบการณ์ช่ำชองยาวนานกว่า 34 ปี
เธอถามนายพลมิลเลย์ตรงๆ ว่า
“ท่านมีแผนอะไรที่จะป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีที่มีสภาพจิตไม่ปกติสั่งการให้โจมตีประเทศอื่นด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของเราบ้างไหม”
ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญสหรัฐ ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี่ เพโลซี เป็นบุคคลที่ต้องรับหน้าที่รักษาการประธานาธิบดีหากตัวประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีไม่อาจจะทำหน้าที่ได้
เธอจึงมีตำแหน่งที่สำคัญอันดับ 3 ของประเทศทีเดียว
นายพลมิลเลย์ตอบเธอว่า
“เรามีระบบการถ่วงดุลอำนาจอยู่ครับ เราจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรบ้าๆ ที่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงครับ”
เพโลซีซักต่อว่า “แล้วคุณจะทำอย่างไร? คุณมีวิธีจะยึดเอาลูกฟุตบอลออกจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้อย่างไร?”
คำว่า “ลูกฟุตบอล” (football) ในที่นี้หมายถึงกระเป๋าเล็กๆ ที่ใส่รหัสลับสำหรับการกดปุ่มอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐเพื่อโจมตีศัตรูในกรณีที่ตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน
เจ้า “ฟุตบอล” นี้โดยปกติแล้ว ไม่ว่าตัวประธานาธิบดีไปไหน ก็จะมีนายทหารคนหนึ่งที่ถือติดตัวไปด้วยเสมอ
นอกจากจะมีปุ่มรหัสลับแล้ว ก็ยังมี “สมุดปกดำ” (black book) ซึ่งจะระบุเป้าของการโจมตีที่อยู่ในดุลพินิจของฝ่ายความมั่นคง
แต่โดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้วคนที่จะกดปุ่มนี้ได้คือตัวประธานาธิบดีเท่านั้น
นายพลมิลเลย์ตอบว่า “เรามีขั้นตอนของเราครับ เรามีทั้งรหัสลับหลายชุดและมีการกำหนดขั้นตอนสำหรับปฏิบัติการครับ ในฐานะประธานเสนาธิการร่วมทหาร ผมให้ความมั่นใจท่านได้ครับว่าผมจะไม่ยอมให้อะไรที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติเกิดขึ้นได้ครับ”
นั่นแปลว่านายทหารที่มีอำนาจสั่งการสูงสุดของอเมริกาคนนี้ก็ตระหนักว่าการที่ทรัมป์ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีก 14 วัน (ก่อนที่โจ ไบเดน จะรับตำแหน่งวันที่ 20 มกราคม) นั้นยังมีความเสี่ยงที่ทรัมป์จะทำอะไรเพี้ยนๆ กับปุ่มนิวเคลียร์ได้
เป็นสภาวะที่สุ่มเสี่ยงและน่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง
เพราะนายพลมิลเลย์ก็คงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าทรัมป์สั่งการให้กองทัพอเมริกาโจมตีประเทศไหนโดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานว่าสหรัฐตกอยู่ในภาวะถูกคุกคามจริง เขาจะทำอย่างไร
ประธานสภาเพโลซีรู้ว่านายทหารคนนี้เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าทรัมป์เกิดทำอะไรเพี้ยนๆ ขึ้นมาผู้นำกองทัพจะทำอย่างไร
แต่ในนาทีแห่งความตึงเครียดอย่างหนักเช่นนี้ นายพลมิลเลย์ก็ต้องใช้ความเป็นนายทหารในสงครามตอบคำถามของหมายเลขหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
“ผมจะไม่ยอมให้กองทัพเราทำอะไรที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมแน่นอนครับ”
แต่ประธานสภายังไม่เชื่อ ถามต่อว่านายพลคนนี้แน่ใจได้อย่างไรว่าจะสามารถสกัดทรัมป์ได้ถ้าเขาสั่งการที่ทำให้เกิดวิกฤตโลกได้
นายพลมิลเลย์ตอบว่า
“เรามีขั้นตอนและกฎกติกาครับ การที่ประธานาธิบดีจะกดปุ่มนิวเคลียร์จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบข้อมูล, การนำเสนอหลักฐานและต้องเป็นข้อมูลจากผู้ดำรงตำแหน่งหรือองค์กรที่มีอำนาจ และต้องถูกต้องตามกฎหมายด้วย การตัดสินใจใช้กำลังหรืออาวุธนิวเคลียร์ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องด้วยกฎหมายและหลักการของเหตุและผลครับ…”
นายพลมิลเลย์ใช้คำว่า authentication กับ certification อันหมายถึงการการต้องตรวจสอบข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนที่ประธานาธิบดีจะสามารถตัดสินใจสั่งการใช้กำลังหรืออาวุธร้ายแรง
เพโลซีบอกนายพลมิลเลย์ว่า
“แต่คุณรู้ไม่ใช่หรือว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้กระทำการที่ผิดศีลธรรม, ผิดกฎหมายและผิดจรรยาบรรณก่อนหน้านี้หลายครั้ง แต่ในทำเนียบขาวก็ไม่มีใครยับยั้งเขาได้…”
นายพลมิลเลย์ต้องยอมรับความจริง
“ผมไม่อาจจะเห็นแย้งกับท่านในเรื่องนี้ได้ครับ”
เสร็จจากบทสนทนาอันเร่าร้อนกับเพโลซีแล้ว นายพลมิลเลย์ก็ตระหนักว่าเขากำลังแบกภารกิจอันหนักหน่วงที่สุดในชีวิตของการเป็นทหารอยู่บนบ่าของตัวเอง
ทันใดนั้น เขาก็เรียกคณะนายทหารประจำศูนย์บัญชาการทหารของสหรัฐที่มีชื่อเต็มว่า National Military Command Center (NMCC) ให้มาพบเขาโดยด่วน
นี่คือหน่วยงานความมั่นคงที่สำคัญที่สุดของสหรัฐ เพราะเป็น “วอร์รูม” ที่สื่อสารคำสั่งการจากผู้นำกองทัพหรือประธานาธิบดีให้ปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญๆ ทั้งหลาย
ว่าแล้ว นายพลมิลเลย์ก็สั่งการคณะนายทหารนี้ว่า
“ขอให้ฟังผมให้ดี และขอให้ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ของผมอย่างเคร่งครัด พวกเราทราบว่าประธานาธิบดีมีอำนาจสั่งการในฐานะผู้บัญชการทหารสูงสุด (Commander-in-Chief) แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากมีคำสั่งทางทหารใดๆ จากประธานาธิบดี ทุกคนต้องแจ้งผมก่อนที่จะตัดสินทำตามคำสั่งใดๆ…โดยไม่มีข้อยกเว้น…เข้าใจไหม? ทุกคนเข้าใจคำสั่งนี้นะ…ขอให้ปฏิบัติตามนี้อย่างเคร่งครัดที่สุด…ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น…เข้าใจไหม?”
นายทหารทุกคนที่เข้าแถวยืนรับคำสั่งนั้นตอบอย่างฉาดฉานว่า
“เข้าใจครับ!”
ได้อ่านรายละเอียดของบทสนทนาของนายพลมิลเลย์กับนายพลหลี่ของจีน, กับประธานสภาเพโลซีและกับคณะนายทหารประจำวอร์รูมสูงสุดของกองทัพอเมริกาแล้ว
บอกได้คำเดียวว่า
หากเกิดความผิดพลาดแม้แต่จังหวะใดจังหวะหนึ่งก่อนไบเดนเข้านั่งทำเนียบขาว ทรัมป์เกือบกดปุ่มเปิดศึกสงครามโลกครั้งที่สามจริงๆ!
รู้แล้วต้องหนาวไปทั้งโลกจริงๆ