2503 สงครามลับ สงครามลาว (61)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (61)

 

ศูนย์บัญชาการที่ล่องแจ้ง

บันทึก “สงครามลาว ยุทธภูมิล่องแจ้ง” ของชาลี คเชนทร์ “ผู้นำอากาศยาน” อธิบายลักษณะภูมิประเทศและสถานการณ์ของเมืองล่องแจ้ง เมื่อต้น พ.ศ.2514 ไว้ดังนี้

ยุทธบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้น พื้นที่เต็มไปด้วยป่าไม้หนาทึบบนภูเขาสูงสลับซับซ้อนต่อกันเป็นเทือกยาวสุดตา เป็นที่สังเกตว่าเหนือบริเวณทั้งหมดไม่ปรากฏที่ราบให้เห็นแม้แต่น้อย

ตัวเมืองล่องแจ้งตั้งอยู่ในแอ่งกระทะใหญ่ ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาน้อยใหญ่รอบด้าน เบื้องหน้าทิศเหนือเป็นสันเขาสูงเทือกยาวอันเป็นปราการขวางกั้นเมืองล่องแจ้งเรียกว่า “สกายไลน์-Skyline”

ถัดลงมาทางใต้เป็นที่ตั้ง “ภูเบี้ย” มีความสูง 2,820 ฟุต นับว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในลาว ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวภูเขา ประกอบด้วยแม้ว เย้า อีก้อ และมูเซอ อาชีพดั้งเดิมของคนภูเขาเหล่านั้นคงหนีไม่พ้นการทำไร่ปลูกฝิ่นและกัญชา

ในหมู่ของชาวม้ง พวกเขารู้สึกว่าตนเองเกิดมามีเคราะห์กรรมเหมือนถูกพระเจ้าสาป ไม่มีพื้นดินและถิ่นฐานพำนักอาศัยเป็นของตนเอง ต้องเร่ร่อนอพยพหลบภัยไม่หยุดหย่อนเพราะสงครามในลาวได้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่างดำรงชีวิตเป็นชาวป่าชาวเขาตั้งแต่ต้นกำเนิดบรรพบุรุษ

ซ้ำร้ายยังถูกมองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยพัฒนาในสายตาของชนชาติเดียวกัน พวกเขามีความรักชาติรักแผ่นดินเช่นกัน แม้ไม่อยากพลัดพรากถิ่นฐาน อยากรวมตัวเป็นปึกแผ่นเพื่อสร้างชาติให้มั่นคง แต่ด้วยความแตกต่างในเชื้อชาติเผ่าพันธุ์และการแต่งกายที่ผิดแผกกับคนเมือง จึงจำต้องอพยพไปอยู่ห่างไกลบนเทือกเขาสูงท่ามกลางความเป็นอยู่อย่างสันโดษ ถือวัฒนธรรมประเพณีมักน้อยเจียมตัว

ภายในตัวเมืองล่องแจ้งเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือนที่พักอาศัย ทางทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งวัดเก่าแก่สลับด้วยอาคารสถานที่ราชการ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และหน่วยทหารตามแนวยาวสันเขาสกายไลน์ นับว่าเป็นศูนย์รวมด้านสาธารณะอุปโภคที่ชาวม้งในพื้นที่ใกล้เคียงและห่างไกลออกไปได้ใช้เป็นสถานที่อันเป็นประโยชน์ร่วมกัน

โดยมีกองกำลังทหารเผ่าม้งทำหน้าที่ป้องกันและให้ความปลอดภัยในบริเวณเหล่านั้น

 

ขณะนั้นบ้านเรือน ที่พักอาศัย วัดและโรงเรียนได้กลายเป็นสภาพร้าง ประชาชน พระสงฆ์ และเด็กนักเรียนได้ถูกทางการแยกออกจากพื้นที่อันตราย โดยถูกจำกัดเขตให้อพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยรอบนอกทั้งหมด

ในเบื้องต้นนายพลวังเปาได้ขอความช่วยเหลือจากฝ่ายสกายอเมริกันจัดหน่วยพลเรือนไทยจำนวนหนึ่งเพื่อร่วมอำนวยความสะดวกในการขนย้ายประชาชนไปอยู่ในแนวหลัง

ฝ่ายสกายจึงมอบให้ “สุพจน์” และคณะไปจัดตั้งหน่วยบริการช่วยเหลือเรียกชื่อว่า “ลาวรวมเผ่า” โดยได้จัดสร้างที่พักอาศัยให้แก่ผู้อพยพทุกครัวเรือน พร้อมทั้งได้แจกเครื่องอุปโภคบริโภคและยารักษาโรคที่จำเป็นรวมถึงการจ่ายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ ให้ไปเพาะปลูกแทนการทำไร่ฝิ่นและกัญชา

นอกจากนั้น ยังได้ให้สิทธิ์แม่ค้าพ่อค้าชาวม้งนำสินค้าเกษตรเหล่านั้นขึ้นเครื่องบินไปจำหน่ายในเมืองล่องแจ้ง วังเวียง เวียงชัย นาซู และเขตปลอดสงครามอื่นๆ อีกด้วย

หน่วยบริการลาวรวมเผ่าได้สร้างมวลชนสัมพันธ์ในพื้นที่ต่างๆ ในช่วงบ้านเมืองเกิดศึกสงครามได้ผลดียิ่ง นอกจากประชาชนจะมีรายได้เลี้ยงครอบครัวแล้ว พวกเขายังมอบความจงรักภักดีต่อทหารรัฐบาล พร้อมยินดีให้การช่วยเหลือในด้านการแจ้งข่าวและชี้เบาะแสของฝ่ายศัตรูเป็นการตอบแทน

ต่อจากนั้นสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในเมืองล่องแจ้งได้ถูกดัดแปลงเป็นที่ตั้งหน่วยทหารโดยกองบัญชาการแห่งเก่าของนายพลวังเปาได้ย้ายออกไปตั้งอยู่บนภูเขาตอนเหนือ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสกาย (ซีไอเอ) ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาแทน

ติดตามด้วยคณะนายทหารไทยได้จัดตั้งเป็นกองบัญชาการหน่วยรบเฉพาะกิจ “บก.ฉก.สิงหะ” ท่ามกลางการป้องกันอารักขาของกองพันบีซี 603 และ 604 ในขณะที่กองพันทหารเสือพรานอื่นๆ กำลังทยอยเคลื่อนพลเข้าสู่สนามรบแห่งนี้ตามลำดับ

พื้นที่อันเป็นแอ่งกระทะใหญ่เหมาะสมเป็นชัยภูมิสำคัญในการตั้งกองบัญชาการรบอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นหุบล้อมรอบด้วยภูเขาสูงรอบด้านที่เรียกว่าสกายไลน์ย่อมได้เปรียบในการหลบภัยและปลอดกระสุนจากการยิงอาวุธหนักจากฝ่ายข้าศึก

บริเวณเช่นนี้เรียกว่า “มุมอับกระสุน” เพราะตำบลกระสุนตกจะถูกภูเขารอบด้านเป็นเสมือนปราการป้องกันไว้ทั้งหมด โดยกระสุนปืนใหญ่และจรวดยิงวิถีไกลจะเลยไปตกหลังภูเขาฟากใดฟากหนึ่ง

 

ประชาชนในเขตเมืองล่องแจ้งได้ถูกทางการอพยพให้ไปอยู่ในเขตปลอดสงครามที่ห่างไกลออกไป แม้กระนั้นชนเผ่าภูเขาเหล่านั้นก็จำเป็นต้องเดินทางออกจากหมู่บ้านอพยพหรือเขตกักกันในพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำสินค้าพื้นเมืองและสินค้าเกษตรไปแลกซื้อแลกขายระหว่างกัน

ดังนั้น ในช่วงทุกเช้าถึงบ่ายจะสังเกตเห็นคนแม้วเผ่าต่างๆ บ้างเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยหรือหญิงแก่หอบลูกจูงหลานต่างแบกขนสัมภาระที่เป็นสินค้าทยอยลงจากเครื่องบินบริการอยู่ไม่ขาดสาย จากนั้นได้ตั้งเต็นท์วางจำหน่ายให้แก่ทหารหลายหน่วยบริเวณ “สเก็ตแรมป์-Skate Ramp” ในเมืองล่องแจ้ง

ในบางวันข้าศึกได้ยิงจรวดระยะไกลพลัดตกเข้ามาในเขตเมืองล่องแจ้ง หากตำบลลูกระเบิดตกห่างออกไป บรรดาพวกซื้อขายมักไม่มีอาการตื่นตระหนกแต่อย่างใด ยิ่งเป็นเสียงปืนเล็กที่ทหารบางหน่วยยิงปะทะต่อสู้กัน ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจ กลับเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะความเคยชินกับวัตถุระเบิดที่เคยเกิดครั้งแล้วครั้งเล่ามานานชั่วนาตาปี

เป็นที่สังเกตว่าทหารลาวและทหารม้งบางหน่วยได้นำอาวุธประจำกาย เช่น ปืนเอ็ม 16 ปืนอาก้า ปืนพก 11 ม.ม. หรือวัตถุระเบิดบางชนิดนำออกเร่ขายและแลกเปลี่ยนระหว่างทหารด้วยกันสนนราคาอาวุธปืนขณะนั้นกระบอกละ 200-300 บาทเท่านั้น

จึงพิจารณาได้ว่าอาวุธสงครามมีจำนวนมากจนล้นกองทัพ สามารถนำมาซื้อขายกันในสนามรบได้อย่างเปิดเผย โดยทางการไม่ได้เข้มงวดกวดขันแต่อย่างใด

นั่นแสดงให้เห็นว่าการค้าอาวุธได้เกิดขึ้นตั้งแต่ในสนามรบแล้ว

 

ภาวะดินฟ้าอากาศบริเวณเมืองล่องแจ้งมีความชุ่มชื้นตลอดปี หน้าฝนมีพายุจัด ท้องฟ้ามืดครึ้มอากาศปิดเวลานาน ฝนตกหนักแทบทุกวัน เหนือเทือกเขาสูงถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนและม่านหมอกหนาทึบ

พอล่วงสู่ฤดูหนาวอากาศหนาวเหน็บ บางวันเย็นจัดจนสามารถมองเห็นเกล็ดหิมะเหนือยอดหญ้าและยอดไม้

ชีวิตทหารนักรบในแนวหน้าในช่วงฤดูฝนนับว่ามีความยากลำบากในเรื่องความเป็นอยู่อย่างมากต่างทุกข์ทรมานต่อการหลบซ่อนและหลับนอนในเบิร์มหรือบังเกอร์ที่มีพื้นที่จำกัดท่ามกลางความชื้นและกลิ่นอับ

พวกเขาจะรู้สึกเหงาซึมเศร้าสุดๆ เมื่อเจอสภาวะอากาศปิดนานหลายวันเมื่อ ฮ.หรือเครื่องบินบริการไม่สามารถนำสัมภาระมาส่งให้ได้ ทหารต้องขาดน้ำดื่มน้ำใช้และอาหารประทังชีวิต

และเพิ่มความน่าสังเวชมากยิ่งขึ้น หากมีศพและทหารที่ได้รับบาดเจ็บตกค้างอยู่ในสถานที่ตั้งแนวหน้าเพราะอากาศปิดเป็นเหตุทำให้บินมารับกลับส่วนหลังไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันใดที่อากาศปิด ฝ่ายเราจะตกเป็นฝ่ายรับจรวดลูกยาวที่ข้าศึกยิงมาราวห่าฝน โดยที่เครื่องบินไม่สามารถโจมตีทิ้งระเบิดได้เลย

อย่างไรก็ตาม ฤดูฝนอันยาวนานย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญในการสู้รบ จึงเป็นปัจจัยเอื้อให้เกิดการพักรบโดยปริยาย ทหารจึงมีเวลาพักฟื้นภายใต้ไอฝนอันชุ่มฉ่ำ

ณ ห้วงเวลานั้น การเคลื่อนพลของกองทัพแห่งชาติลาวในเมืองล่องแจ้งมีปริมาณหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ บางหน่วยเข้าไปทดแทนหรือสับเปลี่ยนหน่วยเก่าที่เคยสู้ศึกมานาน หรือบางหน่วยได้ย้ายไปสู้รบในพื้นที่ภาคอื่น