10 ปีเกาหลีเหนือ ในอุ้งมือคิม จอง อึน/บทความต่างประเทศ

บทความต่างประเทศ

 

10 ปีเกาหลีเหนือ

ในอุ้งมือคิม จอง อึน

 

เป็นเวลาสิบปีเต็มแล้วที่เกาหลีเหนืออยู่ภายใต้ร่มเงาปกครองของคิม จอง อึน ผู้นำตระกูลคิมรุ่น 3 หลังจากการเสียชีวิตลงของคิม จอง อิล ผู้เป็นบิดาและผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือรุ่น 2 เมื่อ 17 ธันวาคมปี 2011

จากวันนั้นถึงวันนี้เกาหลีเหนือยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่หลายคนคาดหวัง!

คิม กึม ฮยอก นักศึกษาจากครอบครัวชนชั้นนำในเปียงยาง ซึ่งแปรพักตร์หนีออกมาบอกกับบีบีซีว่า การก้าวขึ้นสู่อำนาจของคิม จอง อึน ในเวลานั้น ทำให้คนหนุ่มสาวอย่างพวกเขามีความหวังว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่จะได้เห็นแนวคิดและการเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นในเกาหลีเหนือที่ต่างไปจากยุคมืดของคิมผู้พ่อ เพราะคิม จอง อึน เป็นผู้นำหนุ่มซึ่งไปร่ำเรียนถึงยุโรป ก็น่าจะมีความคิดก้าวหน้าในแบบเดียวกับพวกเขา

ตรงกันข้าม 10 ปีผ่านไป ชาวเกาหลีเหนือ 25 ล้านคนในประเทศยังคงถูกกดทับด้วยอำนาจปกครองที่กดขี่เช่นเดิม โดยยังมีการใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือในการกำจัดผู้ที่เป็นภัยคุกคามต่อคิม จอง อึน ไม่เว้นแม้คนในครอบครัวอย่างนายจาง ซอง แท็ก รองประธานคณะกรรมการกลาโหมแห่งชาติ ผู้เป็นอาเขยของคิม จอง อึน ซึ่งถูกสั่งประหารชีวิต

ขณะที่สิ่งหนึ่งที่โลกเราได้เห็นพัฒนาการของเกาหลีเหนือในยุคคิม จอง อึน อย่างเด่นชัดมาตลอด 10 ปีมานี้คือ การเร่งพัฒนาแสนยานุภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่านั่นเป็นหนทางที่ทำให้เกาหลีเหนือยิ่งโดดเดี่ยวตัวเองจากประชาคมโลกมากยิ่งขึ้น

 

นับจากคิม จอง อึน ก้าวขึ้นสู่อำนาจ เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้ว 6 ครั้ง หนึ่งในนั้นเป็นการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนเป็นครั้งแรกของเกาหลีเหนือ และยังมีการพัฒนาขีปนาวุธนำวิถียิงข้ามทวีป (ไอบีเอ็ม) ซึ่งมีแสนยานุภาพยิงโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึงสหรัฐอเมริกา

คลังอาวุธอานุภาพร้ายแรงเหล่านี้สำหรับคิม จอง อึน ถือเป็นดาบล้ำค่าที่จะช่วยปกป้องเกาหลีเหนือและอำนาจในมือของเขาให้พ้นจากภัยคุกคามจากภายนอก

และยังเป็นความภาคภูมิที่ทำให้เกาหลีเหนือ ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ ทัดเทียมชาตินิวเคลียร์อื่นๆ ในโลก

ขณะเดียวกันก็ยังถือเป็นไพ่ต่อรองใบสำคัญของเกาหลีเหนือในเวทีโลกอีกด้วย

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า อาวุธนิวเคลียร์ยังอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางที่สำคัญของเกาหลีเหนือในความพยายามที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พังทลายของประเทศให้ดีขึ้น และป้องกันชาวเกาหลีเหนือจำนวนหลายล้านคนในประเทศให้รอดพ้นจากความอดอยากหิวโหยได้ ท่ามกลางสภาพการณ์ที่เกาหลีเหนือยังต้องล็อกดาวน์ประเทศเพื่อสกัดการเข้ามาระบาดของโรคโควิด-19

ถึงอย่างนั้นในช่วงแรกๆ เรายังพอได้เห็นแนวทางการใช้อำนาจปกครองของคิม จอง อึน แตกต่างไปจากคิมผู้พ่อ โดยพยายามจะทำให้เกาหลีเหนือให้ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ โดยการยอมลงนั่งโต๊ะเจรจาสุดยอดเรื่องอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ชาติปฏิปักษ์สำคัญของเกาหลีเหนือ และการจับเข่าคุยกับประธานาธิบดีมุน แช อิน ของเกาหลีใต้ ชาติคู่ปรับที่ยังถือว่าอยู่ในภาวะสงครามระหว่างกันอยู่

แต่การสร้างเงื่อนไขให้เกาหลีเหนือยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการผ่อนคลายการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือของสหรัฐอเมริกานั้น ได้ทำให้คิม จอง อึน กลับมาหันหลังให้กับประชาคมโลกเช่นเดิม

 

คิม ดู ยอน ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เพื่อความมั่นคงอเมริกันใหม่ มองในประเด็นนี้ว่า คิม จอง อึน จะยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวในด้านอาวุธนิวเคลียร์ต่อไป เพราะการพัฒนาแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ จะทำให้เขามีอำนาจต่อรองทั้งในการเจรจาและการคุมเชิงดูสถานการณ์กับคู่ขัดแย้ง

ขณะที่เศรษฐกิจของเกาหลีเหนือในหลายปีที่ผ่านมายังถือว่าย่ำแย่สาหัส ทั้งผลจากการเผชิญการคว่ำบาตรจากประชาคมโลก และการปิดประเทศเพื่อป้องกันโรคระบาดโควิด-19 นั่นทำให้เกาหลีเหนือต้องพึ่งพาจีนมากขึ้น

จ้าว ตง ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ในปักกิ่งกล่าวว่า ความสัมพันธ์จีนและเกาหลีเหนือเสื่อมทรามลงเป็นประวัติการณ์หลังจากคิม จอง อึน ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธขู่ขวัญอยู่เป็นเนือง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับจีนอย่างมาก จนทำให้ทั้งจีนและรัสเซียลงมติสนับสนุนให้สหประชาชาติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ก่อนที่คิม จอง อึน จะหันกลับมาซ่อมแซมความสัมพันธ์อันดีกับจีนโดยเร็ว

โดยจ้าว ตง ชี้ว่า จีนถือเป็นคู่ค้าสำคัญที่มีอยู่จำกัดของเกาหลีเหนือ แม้คิม จอง อึน อยากจะมีพันธมิตรต่างชาติที่หลากหลาย แต่เขาเชื่อว่าคิม จอง อึน จะยังคงพึ่งพาจีนเป็นหลักต่อไป ในฐานะเป็นชาติที่มีแนวคิดอุดมการณ์สังคมนิยมเหมือนกัน

และต้องผนึกกำลังร่วมกันในการคานอิทธิพลอำนาจของชาติตะวันตกต่อไป