‘บิ๊กตู่’ แจกแหลกของขวัญปีใหม่ ต่อโปรคนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน ปล่อยเคาน์ดาวน์ปีใหม่ 2565/บทความพิเศษ ศัลยา ประชาชาติ

บทความพิเศษ

ศัลยา ประชาชาติ

 

‘บิ๊กตู่’ แจกแหลกของขวัญปีใหม่

ต่อโปรคนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน

ปล่อยเคาน์ดาวน์ปีใหม่ 2565

 

21 ธันวาคม 2564 เป็นอีกวันหนึ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะส่งมอบของขวัญปีใหม่ให้กับราษฎรไทย 70 ล้านคน เกือบถ้วนหน้า-ทุกชนชั้น

โดยเฉพาะในช่วงเดือนสุดท้ายของปี-ธันวาคม 2564 มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ 3 โครงการจะสิ้นสุดลง ทั้งคนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้

คาดว่า 1 มกราคม 2565 โครงการแจก-อัดฉีดเม็ดเงิน เข้ากระเป๋า-ธุรกิจ จะเป็นเรือธงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ-เยียวยาพิษบาดแผลจากสงครามโรคระบาดอีกครั้ง

ทั้งโครงการคนละครึ่งเฟส 4 สิทธิรัฐช่วยจ่าย 50% ไม่เกินวันละ 150 บาท เติมเงินในกระเป๋าคนชั้นกลาง-มนุษย์เงินเดือน ซึ่งต้องลุ้นว่าจะ “เพิ่มวงเงิน” ทั้งรัฐจ่ายให้-ประชาชนร่วมจ่ายมากกว่าเดิม

คนละครึ่ง 3 เฟสที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จ-เสียงตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะจังหวัดใจกลางเศรษฐกิจ-หัวเมืองใหญ่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี

 

ย้อนไปคนละครึ่งเฟสแรก คนละ 3,500 บาท จำนวน 10 ล้านสิทธิ มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 9,536,644 คน ใช้จ่ายสะสม 52,358.3 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 27,353.4 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 26,078.5 ล้านบาท

คนละครึ่งเฟสสอง คนละ 3,500 บาท จำนวน 5 ล้านสิทธิ สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ปิดโครงการมียอดการใช้จ่ายตลอดโครงการ 102,065 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 52,251 ล้านบาท ภาครัฐร่วมจ่าย 49,814 ล้านบาท

โดยมีผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น 14,793,502 คน จากเป้าหมาย 15 ล้านคน ในจำนวนนี้มีการใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 13,653,565 คน หรือร้อยละ 92 ของผู้ใช้สิทธิทั้งหมด โดยมีคนใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 7,819,925 คน

คนละครึ่งเฟสสาม คนละ 4,500 บาท จำนวน 28 ล้านสิทธิ ตลอดระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน-31 ธันวาคม 2564 ขณะนี้จำนวนผู้ใช้สิทธิครบ 4,500 บาท ประมาณ 5 ล้านคน แต่เหลือระยะเวลาอีกไม่ถึง 15 วันจะสิ้นสุดโครงการ

สถานะล่าสุด (14 ธันวาคม 2564) มีผู้ใช้สิทธิสะสม 26.29 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 200,461.4 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 101,931.8 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 98,529.5 ล้านบาท

 

ขณะเดียวกัน เราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 – ปลุกมู้ดจับจ่ายใช้สอย-เดินทางข้ามจังหวัด กระตุ้นกิจกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศให้กลับมาคึกคัก หลังจากซมพิษโควิด-19 กว่า 2 ปี

โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะเสนอ ครม.ในวันที่ 21 ธันวาคม 2564 เห็นชอบ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 4” วงเงิน 13,200 ล้านบาท โดยให้สิทธิอีกประมาณ 2 ล้านห้อง/คืน สิ้นสุดโครงการเดือนเมษายน 2565 ภายหลังเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ครบ 2 ล้านห้อง/คืนแล้ว

ตลอดจนการปัดฝุ่นโครงการ “ช้อปดีมีคืน” หลังจากภาคเอกชนเรียกร้องให้นำกลับมาล้วงเงินในกระเป๋าผู้มีกำลังซื้อสูง นำไปลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศในช่วงเทศกาลปีใหม่

เพราะพิสูจน์แล้วว่า “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ไม่ปัง ตั้งแต่เริ่มโครงการ จนกระทั่งล่าสุด (14 ธันวาคม 2564) มีประชาชนผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 91,952 ราย จากผู้ได้รับสิทธิจำนวนกว่า 4.9 แสนราย ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 3,781 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 275.4 ล้านบาท

และโครงการที่ประชาชนรอคอยมากที่สุดโครงการหนึ่ง คือการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการรอบใหม่-เพิ่มสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติม จำนวน 15 ล้านคน ต้นปี 2565 โดยมาตรการเติมเงิน-เพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีรายได้น้อย-กลุ่มเปราะบางผ่านบัตรคนจนมาทั้งหมด 3 ครั้ง

 

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้-ขยายโอกาส อาทิ ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ ซึ่งจะทำให้ผู้เสียภาษีมีภาระต้องจ่ายภาษีเพียง 10% ต่อไปอีก 1 ปีในปี 2565

ภายหลังจาก ครม.มีมติคงอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราเดิมไปอีก 2 ปี ช่วงปี 2565-2566 ดังนี้

1. ที่ดินที่หรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0.01-0.1

2. เป็นที่อยู่อาศัย แบ่งออกเป็น กรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0.03-0.1 กรณีสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0.02-0.1 และกรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่นให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0.02-0.1

3. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการประกอบเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0.3-0.7

และ 4. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0.3-0.7

มาตรการส่งเสริมการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่จะออกมาจูงใจให้คนไทยใช้รถอีวีกันมากขึ้น ซึ่งจะมีการให้ส่วนลดที่จูงใจ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้เป็นส่วนลด 20% ของราคารถอีวีหรือไม่

 

มาตรการทั้งหมดนี้ รัฐบาลหวังปักทิศทางเศรษฐกิจปี 2565 ให้เป็นจุดเริ่มต้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจ และขยายตัวได้ 4% จากนั้นปี 2566 จะมีแรงขับเคลื่อนจากภาคท่องเที่ยวเข้ามาเสริม ทำให้มีแรงฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

“อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลัง ระบุว่า วิกฤตโควิดครั้งนี้เศรษฐกิจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอย่างน้อย 3 ปี เนื่องจากเป็นวิกฤตที่กระทบกับประชาชนฐานราก สังคมส่วนรวม รวมทั้งภาคธุรกิจ ต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2552 ที่ใช้เวลาเพียง 2 ปีในการฟื้นตัวอย่างเต็มที่

“ขุนคลัง” ชี้ว่า เศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัว ผ่าน 4 เครื่องยนต์หลัก ได้แก่

1. การส่งออก ที่มีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง

2. เม็ดเงินจากภาครัฐที่จะเข้าสู่ระบบ 1 ล้านล้านบาท มาจากเม็ดเงินจากงบประมาณลงทุนของภาครัฐ 6 แสนล้านบาท งบฯ ลงทุนรัฐวิสาหกิจ 3 แสนล้านบาท

3. เม็ดเงินจากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินฉบับเพิ่มเติม ขณะนี้เหลืออยู่ 2 แสนล้านบาท

4. เงินที่มาจกการลงทุนภาคเอกชน

และ 5. การบริโภคโดยรัฐจะเข้าไปสร้างความมั่นใจเพื่อให้เกิดความมั่นใจในการใช้จ่าย

ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในยุคคืนความสุข-เลือกความสงบจบที่ลุงตู่ และกำลังจะก้าวไปสู่ศักราชใหม่ “พลิกโฉมประเทศไทย” ในปี 2565 มหกรรมของขวัญปีใหม่ส่งมอบความสุขให้กับประชาชนชาวไทยไปแล้ว 7 ปี

ที่ผ่านมา จัดให้มาแล้ว ทั้งการลดดอกเบี้ยเงินกู้-สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินค้าอุปโภคบริโภคราคาย่อมเยา-ส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก-กลาง เตรียมแพ็กเกจลดหย่อน-ลดราคาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า พักชำระเงินสมทบประกันสังคมให้แรงงานมนุษย์เงินเดือน

แจกเงินสมนาคุณจากแบงก์รัฐ ตอบแทนลูกค้าประวัติชำระดี-ผ่อนส่งดอกเบี้ยสูง และของขวัญลดค่าครองชีพลดราคาน้ำมัน

 

ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ “พล.อ.ประยุทธ์” กัดฟันฝ่ากระแสโควิด-19 กลายพันธุ์โอไมครอน ตัดสินใจในฐานะ ผอ.ศบค. ปล่อยผี คลายล็อก ให้ธุรกิจท่องเที่ยวได้จัดงานเคาต์ดาวน์ในพื้นที่หลัก 5 จังหวัดท่องเที่ยว พร้อมเอ็กซ์ตร้าให้ดื่มสุรายาวถึงตีหนึ่ง

ทั้งที่เชียงใหม่ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ นครราชสีมา หน้าศาลากลางจังหวัด ระยอง หาดแสงจันทร์ พระนครศรีอยุธยา วัดพระราม และภูเก็ต หาดปลายแหลมสะพานหิน

น่าจะเป็นช่วงปีใหม่ในรอบ 2 ปี ที่รัฐบาลยอมปล่อยฟรี ให้มีการเฉลิมฉลอง และอุ่นใจกับเงินในกระเป๋า ที่รัฐบาลเตรียมกู้มาแจกอีกระลอก