อาจินต์รำลึก : แปดปีที่แก่งเสี้ยน (5)/บทความพิเศษ แน่งน้อย ปัญจพรรค์

อาจินต์ยังเดินด้วยไม้เท้าธรรมดาที่สมศักดิ์ วงศ์เดชานันท์ ให้มา บอกว่าเป็นไม้เท้าชาวอังกฤษ ใช้ไม้ไผ่กลึงจนเนียน ตอนมือจับขยับได้ พฤษภาคม 2555

บทความพิเศษ

แน่งน้อย ปัญจพรรค์

 

อาจินต์รำลึก

: แปดปีที่แก่งเสี้ยน (5)

 

ภารกิจของความสุข 2555

ถนนคน (อาจินต์) เดิน

ฉันยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่เท่าไรนัก เมื่อมาพักที่นี่ครั้งแรกช่วงวันเกิดครบ 7 รอบของอาจินต์ ก็วุ่นวายกับการเตรียมบ้านจัดบ้านที่ยังไม่ค่อยเสร็จดี เพื่อรับแขกเฉพาะหน้า ในเวลาแค่สองสามวันก็ยังไม่เห็นอะไร

ต่อจากนั้น เมื่อมาครั้งที่สองหนีน้ำที่จะท่วมกรุงเทพฯ มาอยู่ตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงเกือบกลางธันวาคม รวม 48 วัน จึงทำให้รู้จักอะไรต่ออะไรมากขึ้น คุ้นเคยมากขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่รู้อะไรอีกมากมายนัก

ที่จริงอยากจะอยู่ให้นานกว่านั้น แต่ช่วงนั้นมีภารกิจมากมายที่ต้องรีบกลับไปรับมือ คือเมื่อกลางปีที่แล้ว 2554 ฉันเกิดค้นพบจดหมายเพื่อนรักชาวอเมริกันคนเดียวที่ฉันได้มาเมื่อตอนไปเรียนหนังสือที่นั่น

เป็นจดหมายยืดยาวที่แสดงความรู้สึกดีๆ ของเพื่อนต่อเพื่อน และฉันไม่ได้ตอบจดหมายนั้น

ทำไมฉันเพิ่งรู้สึกผิดก็ไม่รู้ นั่นมันผ่านมาตั้งเกือบ 40 ปีแล้ว!

40 ปี จากอายุยี่สิบกว่าจนหกสิบกว่าปี

มันไม่ง่ายเลยที่จะหวนกลับไปติดต่อค้นหา

แต่ฉันก็ลอง มันเป็นเรื่องยาวและน่าจะยุ่งยาก โดยมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยมาก แต่ฉันก็ทำได้โดยบังเอิญ คือเล่าตรงนี้ไม่ไหว สรุปว่าฉันติดต่อกับแพ็ทได้แล้ว และทันทีที่ติดต่อกันได้ แพ็ทก็จะมาหาที่กรุงเทพฯ ทันที นัดหมายกันไว้ช่วงหลังคริสต์มาสจนต้นปีใหม่ รวมเวลาราว 2 อาทิตย์

ฉันก็เลยต้องกลับไปกรุงเทพฯ ช่วงนั้น

 

และทันทีที่ส่งแพ็ทกลับเมื่อ 10 มกราคม ปี 2555 ฉันก็บึ่งมาที่นี่ทันที เพื่อรับรองเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นแขกชุดแรกของบ้านนี้ เมื่อ 13-15 มกราคม มากันสิบกว่าคน ทุกคนเป็นชาวค่ายอาสาสมัคร สจม.รุ่นเก่า ปัจจุบันนี้กิจกรรมค่ายอาสาของสโมสรนิสิตจุฬาฯ ไม่เหมือนกับกิจกรรมรุ่นเราแล้ว น้องๆ ชาวค่ายรุ่นปัจจุบันที่เคยมาร่วมสังสันทน์กับพี่ๆ รุ่นเราต่างบอกว่าเสียดาย ที่ไม่เคยร่วมค่ายแบบเดียวกับรุ่นเรา มันสนุก อบอุ่น ใกล้ชิดสนิทสนมกันดี และมีประโยชน์

ชาวค่ายคนหนึ่ง ศิวะ แสงมณี อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เคยพูดบนเวทีในงานค่ายนานมาแล้วว่า…ตั้งแต่ทำงานมา ผมไม่ได้ใช้วิชาที่เรียนมาเลย ใช้แต่วิชาชาวค่าย!

รับเพื่อนๆ น้องๆ ชาวค่ายไม่ยุ่งยากอะไร เขาช่วยตัวเองกันมาก สุทัศน์ ศุกลรัตนเมธี เป็นผู้นำรุ่นน้องๆ มา เขาเป็นพ่อครัวชั้นดีด้วย สนุกกันแค่วันสองวันเขาก็ไป ฉันก็กลับกรุงเทพฯ ไปทำภารกิจอีกอย่างที่หนักกว่าคราวก่อน

คราวนี้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อต้นเดือนกันยายนปี 2554 ฉันมีพันธสัญญากับทาง กทม. ว่าจะต้องจัดหนังสือกว่าหมื่นเล่มในบ้านมอบให้ห้องสมุด กทม.ไปจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเล่าในอีกตอนหนึ่งภายหลัง ขณะนี้ฉันต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อส่งมอบหนังสือทั้งหมด

แล้วฉันก็ใช้เวลา 3-4 เดือน นับจากกลับไปกรุงเทพฯ คราวนี้จัดการให้เสร็จหมดในส่วนที่ฉันต้องทำ แล้วก็เช่นเคย

เสร็จกิจนี้แล้วฉันก็บึ่งกลับมาที่นี่อย่างรวดเร็ว

 

14-27 พฤษภาคม ที่ฉันอยู่ที่นี่ คราวนี้คือการมาจัดการ ดูแล การทำถนนคน(อาจินต์)เดินเท้าบนพื้นที่หน้าบันไดขึ้นบ้าน ตรงพูนดินที่เขาปรับไว้จากหน้าบันไดตรงไปราว 3.2 ? 10.5 เมตรนั้น มันพอดีหรือไม่ จะทำอย่างไร ขึ้นลงส่วนไหน พื้นที่ข้างๆ เอาอย่างไร

มันง่ายมาก รู้ๆ กันอยู่บ้างแล้ว พูดกันแล้ว นายจักรสั่งให้ขับรถขึ้นลงให้ดู ตัวเขาก้มหน้าแทบติดพื้นสังเกตระยะทางใต้ท้องรถว่ามันต้องปรับดินแค่ไหนอย่างไร ขับให้ดูใหม่ สองสามหนก็ตกลง พูนดินด้านตะวันออก ทางภูเขาก็ไม่ทำอะไร วางเสาไว้นั่งเล่นตามทางยาวแค่นั้น ด้านตรงข้ามต้องทำระดับเป็นสองระดับ ใช้หินแดงก้อนใหญ่ๆ ที่มีเยอะในพื้นที่เอามาเรียงอัดเป็นชั้นสองชั้น แต่ละชั้นก็เป็นแปลงที่ต้องปลูกไม้เล็กหรือไม้ดอกตามต้องการ

ตอนต้นและตอนปลายทางก็เทปูนเป็นทางราบขึ้นลงแบบเดียวกับพื้นทางเดิน ไม่ใช้กระเบื้อง

ระยะหลังๆ นี้ ฉันเข้าร้านวัสดุก่อสร้างบ่อย เจอผู้รับเหมาคนหนึ่ง เขาแนะนำว่าพี่อย่าไปใช้กระเบื้องปูทางที่มันตากฝนเลย ร้อยทั้งร้อยมันลื่นทั้งนั้นแหละ ต่อให้เป็นกระเบื้องที่ทำสากๆ ไม่ลื่นมันก็ลื่น

ฉันนั่งดูเด็กกับคนแก่สามสี่คน เขาตัดไผ่ ผ่าซีก วางขัดทางยาวทางขวางเป็นตารางรองพื้นก่อนเทปูน เหมือนใช้เหล็กเส้น แล้วก็เทปูน แต่งขอบ ดูเหมือนง่ายๆ ก็คงไม่ยากอะไรสำหรับช่างที่เคยทำอะไรๆ ยากกว่านี้มาแล้ว

ทำการงานหนักๆ เปื้อนๆ ที่เรานั่งดูทีละวัน ทีละวัน มันก็มีสิ่งสวยงาม น่าดู น่าเพลิดเพลิน เจริญตาเจริญใจผ่านเข้ามาให้เราเห็นและสัมผัสได้อย่างมีความสุขอยู่เสมอ

 

คืนวันที่ 18-เช้าวันที่ 19 พฤษภาคม ตื่นขึ้นมาก็เปิดประตูหน้าบ้าน ทันทีที่ก้าวเท้าลงไปที่ระเบียงก็ตกใจ ความจริงไม่ใช่ตกใจ แต่มันแปลกใจ ตื่นเต้นเหลือที่จะกล่าว บนกระเบื้องพื้นระเบียงเกลี้ยงๆ ตรงนั้น มันถูกทับถมด้วยแมลงเม่าตัวโตๆ ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนตัว ทั้งที่มีแต่ปีกที่หักหลุดจากตัวแล้ว และที่ยังเป็นตัวมีปีกเป็นๆ แต่หมดแรงกระดิกกระเดี้ยอยู่ดุกดิกๆ กองหนาสูงเป็นนิ้วๆ มองไม่เห็นพื้นกระเบื้องเลยในบางตอน เป็นแมลงเม่าที่ตัวใหญ่กว่าที่เคยเห็น ปีกยาวเป็นนิ้ว

โอ้ แม่เจ้า ที่เขาพูดกันว่าแมลงเม่าบินเข้ากองไฟนั้นมันเป็นเช่นนี้เอง ตอนกลางคืนเราเปิดไฟบนเพดานที่ระเบียงเพียงดวงเดียว ล่อแมลงเม่ามาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

มองลงไปที่พื้นดินข้างล่าง เห็นแมลงสีแดงตัวเล็กๆ มีจุดดำ กำลังคาบคอแมลงเม่าทั้งปีกที่ใหญ่กว่าตัวมันเอง คลานออกไปหาที่กินหรือที่ซ่อน

หรือจะคาบไปฝากลูกหลานของมันที่ไหนก็ไม่รู้ได้

ถนนอาจินต์เดินเสร็จในไม่กี่วัน หลังจากนั้น พอคอนกรีตแห้งดีแล้วเราก็พาอาจินต์ลงเดิน อาจินต์ยังลงเองได้ เราคอยอยู่ใกล้ๆ ก็พอ แรกมาอยู่ที่นี่ อาจินต์ใช้ไม้เท้าธรรมดา ต่อมาพี่สาวฉันเอาไม้เท้าสามขามาให้ ลองใช้ดูแล้วไม่ชอบ ไม่ถนัด จึงยังใช้ไม้เท้าเดิมต่อมา จนหลังจากผ่าตัดลำไส้ปลายปี 2555 แล้ว จึงใช้ walker สี่ขา

อาจินต์เดินไปมาบนถนนนี้ครั้งแรก เห็นแล้วดีใจมากๆ ชื่นใจเหลือเกินที่อาจินต์มีที่เดินอย่างดี ทุกเช้าเย็น คราวละครึ่งชั่วโมง ตอนเย็น เดินเสร็จก็นั่งพักที่นั่งริมทางที่เราทำไว้ให้ หรือไม่ก็มานั่งเก้าอี้ขาวเอนพิงสบายที่หน้าบันได พระอาทิตย์ตรงหน้าอาจินต์ตรงนี้สวยทุกวัน บางวันก็สวยมาก

ให้อาจินต์นั่งดูพระอาทิตย์กำลังตก บางวันก็มีพระจันทร์ขึ้นอีกทางหนึ่งพร้อมๆ กัน ช่างสวยงาม แปลกตาเหลือเกินที่ได้เห็นพระอาทิตย์พระจันทร์พร้อมกันบนฟากฟ้า อาจินต์นั่งเฉยๆ ดูบ้างไม่ดูบ้าง ส่วนฉันก็เอาแต่ถ่ายรูป ถ่ายทั้งคนทั้งธรรมชาติ บางวันเมฆตอนพระอาทิตย์ตกก็สวยมากๆ บางวันก็สีสดมาก สรุปแล้ว พระอาทิตย์ตกจะสวยหรือไม่สวยขึ้นกับเมฆเป็นส่วนใหญ่

ท่ามกลางท้องฟ้า เมฆหมอก ก็ยังมีเสียงนกร้องกลับรัง เสียงจุ๊บจิ๊บ จุ๊กจิ๊ก ของแมลงกลางคืนเริ่มออกหากิน

มีสายลมพัดพลิ้วแผ่วเบา บางทีก็พัดแรงเย็นสบาย เท่านี้ก็เป็นสวรรค์บนดินสำหรับเราแล้ว