ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 ธันวาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนที่โหยหาความยอมรับจากต่างชาติมากอย่างที่ไม่มีนายกฯ คนไหนเคยเป็น
คุณประยุทธ์คุยโวทุกครั้งที่ได้ออกงานนอกประเทศ
โม้สะบั้นทุกครั้งที่ได้ไปงานเดียวกับคนมีชื่อเสียงระดับโลก
และคุณประยุทธ์ไม่เคยพลาดโฆษณาตัวเองกรณีผู้แทนประเทศอื่นมาเยือน
ไม่มีใครรู้ว่าคุณประยุทธ์เป็นแบบนี้เพราะอะไร และที่จริงต้นเหตุของเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญด้วย เพราะสิ่งที่เป็นประเด็นยิ่งกว่าคือวิธีที่คุณประยุทธ์พยายามทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับกับโลก
รวมทั้งวิธีที่คุณประยุทธ์คิดว่าจะทำให้คนไทยเชื่อว่าคุณประยุทธ์เป็นที่ยอมรับในโลกจริงๆ
หนึ่งในประโยคที่คุณประยุทธ์พูดให้คนไทยฟังทุกครั้งที่กลับจากประชุมใหญ่ๆ คือ “ทุกประเทศเขาต้อนรับผมดี”
หรือไม่ก็ “ไปไหนมาไหนก็มีคนต้อนรับ”
ซึ่งพยายามตอกย้ำความเชื่อว่าการไปไหนมาไหนและการ “ต้อนรับ” เกิดจากความยอมรับที่มีต่อตัวคุณประยุทธ์ในฐานะปัจเจกบุคคลเอง
ด้วยคำอธิบายที่คุณประยุทธ์คิดจนทำทุกทางให้คนไทยคิดตาม ว่าคุณประยุทธ์มีโอกาสไปร่วมประชุมสหประชาชาติ, อาเซียน, อาเซม, เอเปค, ลุ่มน้ำโขง ฯลฯ เพราะที่ประชุมระดับประเทศมองเห็นความสามารถคุณประยุทธ์ในทางใดทางหนึ่งเหมือนการเป็นตัวแทนจังหวัดไปประกวดร้องเพลง
คุณประยุทธ์ไม่ใช่คนในรัฐบาลรายแรกที่เดินทางไปประชุมนอกประเทศ แต่เมื่อเทียบกับคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งไปประชุมองค์การอนามัยโลกโดยรู้ว่าไปเพราะ “หัวโขน” ของประเทศ คุณประยุทธ์กลับเป็นคนเดียวที่เอาเรื่องนี้มาโม้ราวกับคนไม่เคยออกนอกประเทศที่ไม่รู้ธรรมเนียมการทูตอะไรเลย
คนรุ่นใหม่มองว่าคุณประยุทธ์ตลกและเชย โดยคำว่าเชยนี้หมายถึงอะไรที่หลงยุคระดับรุ่นปู่หรือรุ่นพ่อ ส่วนความคิดคุณประยุทธ์เรื่องนี้เก่าและหลงยุคไปตั้งแต่สมัยทวดยังไม่เกิด เพราะเป็นความคิดที่คิดว่าตัวเองคือรัฐ และอะไรที่เป็นเรื่องของรัฐก็กลายเป็นเรื่องของตัวเองเพียงคนเดียว
หนึ่งในลักษณะรัฐโบราณที่ต่างจากรัฐสมัยใหม่คือ “รัฐ” เป็นทรัพย์สินของผู้ปกครอง ผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เจ้าเมือง ฮ่องเต้ หัวหน้าเผ่า พ่อขุน แถน รายา ฯลฯ จึงไม่แบ่งระหว่าง “ส่วนตัว” และ “ส่วนรวม” เพราะถือว่าตัวเองคือรัฐ และอะไรที่เป็นของรัฐก็เป็นของผู้ปกครองโดยปริยาย
ทันทีที่คุณประยุทธ์คิดว่าต่างชาติเชิญคุณประยุทธ์ไปร่วมเวทีต่างๆ เพราะคุณสมบัติส่วนตัวของคุณประยุทธ์ คุณประยุทธ์กำลังคิดเหมือนออกญาหรืออัครมหาเสนาบดีในอาณาจักรหลายร้อยปีก่อนว่ารัฐคือตัวเองเท่านั้น
ทั้งที่จริงๆ ไม่มีใครเชิญคุณประยุทธ์เพราะความเป็นตัวคุณประยุทธ์เอง
ถ้าต่างชาติเชิญคุณประยุทธ์เพราะความเป็นคุณประยุทธ์ คุณประยุทธ์คงถูกเชิญไปเวทีโลกกรณีต่างๆ ตั้งแต่ยังเป็นผู้บัญชาการทหารบก รวมทั้งคงมีคนเชิญไปเวทีต่างๆ หากหลุดจากตำแหน่งนายกไปแล้ว
แต่ความเป็นจริงคือเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต และไม่มีแววว่าจะเกิดในอนาคตเลย
สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองคือรัฐ การได้ไปถ่ายรูป, ร่วมงานเลี้ยงรับรอง หรือเอาศอกชนผู้นำประเทศต่างๆ ย่อมถูกมองเป็นการแสดงความสนิทสนมส่วนบุคคลที่ผู้นำประเทศอื่นมีต่อตัวเองไปหมด
คุณประยุทธ์จึงปลื้มที่ฟ้าชายชาร์ลส์จับไหล่ ทั้งที่ต่อให้คุณธรรมนัส พรหมเผ่า ไปก็จะถูกจับไหล่แบบเดียวกัน
สถานะของประเทศไทยยุคคุณประยุทธ์เป็นได้แค่การส่งคุณประยุทธ์ไปใส่หูฟังล่ามพูดในที่ประชุม หรือไม่อย่างนั้นก็ไปเดินถ่ายรูปในงานเลี้ยง
คุณประยุทธ์ได้ความภูมิใจที่มีรูปประกบคนดังในงานใหญ่ๆ ต่อให้อาจฟังไม่รู้เรื่อง แต่คนไทยไม่ได้อะไรจากการไปของคุณประยุทธ์แม้แต่นิดเดียว
ด้วยวิธีคิดแบบอัครมหาเสนาบดีที่ลามจากคุณประยุทธ์สู่คุณดอน ปรมัตถ์วินัย สถานะประเทศไทยในเวทีโลกจึงย่อยยับไปแทบทั้งหมด อย่างดีคือได้ไปประชุมตามงานที่เชิญทุกประเทศ มากกว่านั้นอีกนิดคือเป็นประธานตามงานที่ถึงคิวเป็นประธานตามรอบ แต่ไม่มีอะไรในแง่ยกระดับประเทศจริงๆ เลย
คุณทักษิณ ชินวัตร ที่คุณประยุทธ์เกลียด เคยคิดนำไทยเป็นผู้ทำเอเชียโดยสร้าง Asia Bond แต่ยุคนี้เอาแค่ประเทศไม่ตกไปครึ่งล่างของอาเซียนก็บุญแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการเป็นผู้นำวิสัยทัศน์ต่างๆ ที่ไม่มีเลย
คุณประยุทธ์ไม่รู้แบบที่คนทั้งโลกรู้ว่าโลกาภิวัตน์คือโลกที่บรรทัดฐานสากลสำคัญ
และหนึ่งในบรรทัดฐานหลักของโลกหลัง ค.ศ.2000 คือการยึดมั่นในสังคมเปิด, การเมืองแบบประชาธิปไตยและเคารพสิทธิมนุษยชน
ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้ไม่มีความหมายในความคิดและสำนึกของคุณประยุทธ์เลย
คุณประยุทธ์ชอบหลอกคนไทยและคนทั้งโลกว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่นอกเหนือจากคุณแรมโบ้และสื่อสายเลียแล้วคงไม่มีใครกล้าพูดว่าคนที่ยึดอำนาจ, เอาถุงดำคลุมหัวคนเข้าค่ายทหาร, คิดต่างช่วงประชามติโดนคดี, ใส่เสื้อยืดโดนยัด 112 ฯลฯ คือผู้นำแบบประชาธิปไตยได้เลย
พูดตรงๆ คนที่อยากให้โลกยอมรับแต่ทำลายประชาธิปไตยก็ไม่ต่างกันมนุษย์ยุคหินที่อยากได้ชื่อว่าศิวิไลซ์ เพราะต่อให้จับมนุษย์ยุคหินใส่สูทผูกเน็กไท ทันทีมนุษย์ยุคหินใช้กระบองตีแย่งอาหารหรือเมียชาวบ้าน คนย่อมรู้ว่าภายใต้สูทและเน็กไทคือคนป่าเถื่อนหลงยุคบ้าอำนาจที่ไร้อารยธรรมอยู่ดี
คุณประยุทธ์ต้องการไล่องค์กรสิทธิระดับโลกอย่างแอมเนสตี้ออกจากไทย ถึงตัวคุณประยุทธ์จะไม่กล้าออกหน้าเอง แต่คนที่ขับไล่อย่างแรมโบ้, ทนาย, ส.ว.ที่อ้างเป็นตัวแทนชาวนา ฯลฯ ล้วนเป็นคนที่คุณประยุทธ์ตั้งกินเงินเดือนในทำเนียบหรือในสภา และพูดง่ายๆ ก็เป็นลูกน้องคุณประยุทธ์ทุกคน
ม็อบคุณประยุทธ์ถือป้ายแรมโบ้ขับไล่แอมเนสตี้โดยอ้างว่าแอมเนสตี้ปกป้องนักโทษคดีข่มขืนและพ่อค้ายา
แต่ที่จริงแอมเนสตี้ต่อต้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่ได้คำนึงว่าผู้ถูกประหารคือใคร ข้อกล่าวหานี้จึงผิด เพราะต่อให้คุณประยุทธ์ถูกตัดสินประหารคดีกบฏ แอมเนสตี้ก็ค้านเหมือนกัน
แอมเนสตี้ทำงานสิทธิมนุษยชนในไทยมาแล้วเกือบครึ่งศตวรรษตั้งแต่ทหารฆ่าประชาชนเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 เท่ากับแอมเนสตี้ต่อต้านโทษประหารและเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหายุคนายกฯ ชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์, พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์, คุณทักษิณ, คุณชวน หลีกภัย ฯลฯ โดยไม่มีปัญหาอะไร
พูดตรงๆ คุณประยุทธ์หรือ “ระบอบประยุทธ์” ไม่พอใจแอมเนสตี้ที่เอาการที่รัฐบาลยัดคดี 112 “รุ้ง ปนัสยา” ไปเป็นประเด็นรณรงค์ระดับโลก เพราะการทำแบบนั้นประจานว่าไทยไม่ให้สิทธิประกันตัวประชาชนในคดีที่สหประชาชาติและนานาประเทศเสนอว่าไทยควรยกเลิกนานแล้วอย่าง 112
ด้วยการรณรงค์ของแอมเนสตี้ โลกรู้ว่าไทยคือประเทศป่าเถื่อนในโลกซึ่งเคลื่อนสู่ประชาธิปไตย โลกรู้ว่าระบอบประยุทธ์ทำให้ไทยเป็นมนุษย์ยุคหินที่โผล่มาในศตวรรษที่ 21
และโลกรู้ว่าไทยเอาเด็กเข้าคุกทั้งที่ศาลยังไม่มีคำตัดสินโดยอ้างว่าการใส่เสื้อเอวลอยและเสื้อยืดดำคือภัยต่อความมั่นคง
รัฐบาลมีสิทธิโกรธแอมเนสตี้ที่ทำให้โลกเห็นความป่าเถื่อนของระบอบการปกครองไทย
แต่รัฐบาลควรตระหนักว่าแอมเนสตี้ไม่ใช่คุณดอน แอมเนสตี้หรือองค์กรระดับโลกอื่นๆ จึงไม่มีหน้าที่โกหกโลกว่าไทยคือประเทศที่เคารพสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยทั้งที่ความจริงเต็มไปด้วยการยัดคดี
คุณแรมโบ้และ ส.ว.สายลิ่วล้อปลุกม็อบไล่แอมเนสตี้โดยอ้างเรื่อง “แทรกแซง” กระบวนการยุติธรรม แต่การเรียกร้องสิทธิประกันตัวไม่ใช่การแทรกแซงคดี เพราะสิทธินี้กฎหมายกำหนด แอมเนสตี้ไม่มีอำนาจบังคับให้ใครทำตาม และต่อให้ศาลขังเด็กโดยไม่ให้ประกันก็ไม่มีใครทำอะไรได้เลย
ถ้ารัฐบาลอยากขับไล่แอมเนสตี้ด้วยข้อหา “แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม” จริง สิ่งแรกที่รัฐบาลต้องทำคือแก้กฎหมายว่าผู้ถูกฟ้องคดี 112 ไม่มีสิทธิพบทนายหรือประกันตัวสู้คดี หาไม่ข้ออ้างเรื่องแทรกแซงการยุติธรรมก็จะมีคนฟังแค่มนุษย์ป้าน้ำหมากเปรอะใส่เสื้อเหลืองสะกดจิตตัวเองไปวันๆ
คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่คุณประยุทธ์กลับต้องการได้ความยอมรับจากโลกที่สิทธิมนุษยชนเป็นบรรทัดฐานขั้นสูงสุด ความฝันของคุณประยุทธ์เรื่องนี้จึงไม่มีทางเป็นจริงได้
และสถานะของประเทศไทยในระดับโลกไม่มีวันมีอะไรดีขึ้นไปกว่าปัจจุบัน
หนทางสู่การสร้างความยอมรับจากโลกต้องเริ่มต้นที่การเคารพกติกาโลก
ไม่อย่างนั้นบทบาทไทยในเวทีโลกก็เป็นแค่การส่งคุณประยุทธ์ไปประชุมนั่นประชุมนี่โดยสื่อสารอะไรไม่ได้
ทำได้อย่างดีแค่กิริยาตลกๆ ของคนที่คิดว่าการได้ร่วมงานเลี้ยงระดับโลกคือความสำเร็จของตัวเองและประเทศไทย
การขับไล่แอมเนสตี้คือความตกต่ำของประเทศไทยยุคประยุทธ์ที่จะยิ่งทำให้ประเทศไทยไม่ต่างจากมหามิตรของคุณประยุทธ์ในพม่า หรือคิม จอง อึน