อัฟกานิสถาน : การกลับมาของฏอลิบาน (15)/มุมมุสลิม จรัญ มะลูลีม

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม

จรัญ มะลูลีม

 

อัฟกานิสถาน

: การกลับมาของฏอลิบาน (15)

 

Road Map ของสหรัฐ

หลังการถอนทหารจบลงในวันที่ 31 สิงหาคม Biden อ้างว่าภารกิจการถอนทหารได้จบลง “ด้วยความสำเร็จเป็นพิเศษ” เขากล่าวว่า สงครามในอัฟกานิสถานได้แสดงให้เห็นถึงการปิดฉากลงของศักราชที่ “พลังทางทหาร” ของสหรัฐซึ่งได้เคยสร้างไว้ให้กับประเทศอื่นๆ

เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาจำนวนมาก รวมทั้งจากพรรคเดโมแครตของเขาเองว่าด้วยการออกมาจากอัฟกานิสถาน Biden กล่าวว่า ทางเลือกอื่นๆ ที่มีอยู่ก็มีแค่เพียงการขยายสงครามออกไปเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางจบสิ้น

Biden ได้วาง Road Map ถึงอนาคตในการบริหารของเขาในการระหว่างประเทศให้เห็นว่าในเวลานี้ยุทธศาสตร์ทางทหารของสหรัฐได้เปลี่ยนจากอัฟกานิสถานไปสู่จีนแล้ว

Biden กล่าวว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปสหรัฐจะวางยุทธศาสตร์ที่นำทางโดย “เศรษฐกิจและจะปฏิบัติตามการแข่งขันกันด้วยความมั่นคงทางไซเบอร์” เท่านั้น

กองทัพสหรัฐจะไม่ส่งผู้คนจำนวนมากไปต่อต้านการก่อการร้ายในประเทศใดๆ เป็นการพิเศษอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้นสหรัฐจะใช้เทคโนโลยีทางการทหาร ซึ่งจะปฏิบัติการอยู่ “เหนือท้องฟ้า” เพื่อโจมตีผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่นในอัฟกานิสถาน

หนึ่งในการโจมตีผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายเกิดขึ้นใกล้สนามบินหนึ่งวันก่อนที่กองกำลังของสหรัฐผู้ยึดครองจะออกจากประเทศไป นำไปสู่การใช้อาวุธจากโดรนของสหรัฐอย่างผิดพลาดจนนำไปสู่ความตายของครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ 9 คน รวมทั้งเด็กที่กำลังอยู่ในวัยเยาว์อีกสามคน

ทหารสหรัฐอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อขัดขวางการโจมตีของผู้ก่อการร้ายด้วยการถล่มรถติดระเบิดที่มุ่งสู่สนามบินที่ต่อมาพบว่าเป็นแค่รถของชาวอัฟกันที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มก้อนใดๆ

โดยในเวลาต่อมาสหรัฐได้ออกมาขอโทษความผิดพลาดดังกล่าวต่อประชาคมโลกที่ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ชาวอัฟกันต้องมาจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าในประเทศที่ไม่เคยมีความสงบสุขมาติดต่อกัน 40 ปี

 

การเฉลิมฉลองของฏอลิบาน

หลังการถอนทหารสหรัฐ

ออกจากอัฟกานิสถาน

กอนดาฮาร์แหล่งกำเนิดของฏอลิบานได้เป็นประจักษ์พยานให้กับการมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองการถอนทหารของสหรัฐ

รถถัง ฮัมวี เฮลิคอปเตอร์ Black Hawk ซึ่งทั้งหมดล้วนยึดมาจากทหารสหรัฐได้ถูกนำมาแสดงด้วยเช่นกัน โดยมีมวลชนจำนวนหนึ่งที่มีความตื่นตัวเข้าร่วมชมการเฉลิมฉลองดังกล่าว

กองกำลังฏอลิบานซึ่งอยู่ที่สนามบินกรุงคาบูลและที่เมืองหลวงต่างยิงปืนขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อกองกำลังของผู้ยึดครองได้ออกจากประเทศไป

ท้องฟ้ากรุงคาบูลสว่างไสวไปด้วยพลุไฟ วันต่อมาผู้นำฏอลิบานซึ่งขนาบข้างไปด้วยผู้คุ้มครองได้แต่งกายด้วยชุดทหาร พร้อมกับพกอาวุธของสหรัฐเข้ามาตรวจกลุ่มทหารที่มาประจำการอยู่สนามบิน

ฏอลิบานได้ประกาศความตั้งใจที่จะเปิดสนามบินที่กรุงคาบูลเพื่อการบินพาณิชย์ทันที และกำลังขอความช่วยเหลือจากตุรกีและกาตาร์เพื่อซ่อมแซมและทำให้สนามบินกลับมาทำงานได้อีกครั้ง

มุญาฮิด (Zabihullah Majahid) กล่าวเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ว่า “อเมริกาประสบความพ่ายแพ้” และอัฟกานิสถานได้ “อธิปไตยและเอกราชคืนมาอีกครั้ง” อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าประเทศนี้ต้องการความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนระหว่างประเทศ รวมทั้งสหรัฐ

ด้วยการย้ำว่าสหรัฐยังไม่มีกระจิตกระใจที่จะขยายความชอบธรรมทางการทูตกับรัฐบาลที่นำโดยฏอลิบาน รัฐมนตรีต่างประเทศ Blinken กล่าวว่า ฏอลิบานต้องสร้างความมุ่งหวังที่ดีในชุมชนระหว่างประเทศด้วยการกระทำที่แสดงให้เห็น

Blinken ย้ำว่าสหรัฐต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปี เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเวียดนามกลับมาและเพื่อให้เกิดความมั่นคงหลังจากสหรัฐพ่ายแพ้สงครามในอินโดจีน

มันคงต้องใช้เวลาอีกยาวนาน สำหรับสถาบันทางการเมืองของสหรัฐที่จะย่อยมหากาพย์แห่งความพ่ายแพ้ที่ได้รับในอัฟกานิสถานลงได้

 

ปัญหาที่ต้องหาทางแก้ไข

โลกต้องให้การรับรู้ถึงสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ เป็นที่รับทราบกันมาตลอดว่าเศรษฐกิจของอัฟกานิสถานที่ผ่านมานั้นต้องอาศัยความช่วยเหลือที่มาจากหน่วยงานด้านการช่วยเหลือระหว่างประเทศ โดยขณะนี้อัฟกานิสถานต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก

หลายๆ สถาบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารขาดผู้ทำงานที่มีคุณภาพ คนงานบางคนได้ออกจากประเทศไปและบางคนก็ไม่มาทำงาน

เงินเดือนของเจ้าหน้าที่รัฐบาลไม่ได้รับการจ่าย ค่าเงินของอัฟกานิสถานตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง มีประชาชนมาเข้าคิวรอเบิกเงินอยู่หน้าธนาคาร บางคนต้องรอเป็นวันๆ เพื่อเบิกเงินเพียงเล็กน้อยที่มีอยู่

หนึ่งใน 3 ของชาวอัฟกันกำลังอยู่ในหุบเหวของการขาดอาหาร

ผู้ลี้ภัยไปยังปากีสถานและอิหร่านมีจำนวนเพิ่มขึ้น คนอัฟกันนับล้านอยู่ในแคมป์ที่มีสภาพขาดความสะอาดอยู่ในสองประเทศ

 

ตำแหน่งรัฐบาลรักษาการ

นับเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่อัฟกานิสถานมีประสบการณ์แห่งความสงบและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบของคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลรักษาการก็ยังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับชาวอัฟกันและประชาคมโลกมากนัก

อย่างไรก็ตาม ฏอลิบานยังคงเดินตามข้อตกลงที่มีกับสหรัฐในกรุงโดฮาอยู่เหมือนเดิม

มากกว่าหนึ่งเดือนที่กรุงคาบูลถูกเข้าครองโดยฏอลิบานในที่สุดรัฐบาลรักษาการก็เกิดขึ้นในวันที่ 7 กันยายน หลังจากมีกลุ่มต่อต้านฏอลิบานที่เหลืออยู่ประปรายจากรัฐบาลก่อนออกมาต่อต้านที่หุบเขาปัญชีร (Panjshir) และฏอลิบานก็ประกาศถึงการจัดตั้งรัฐบาลที่ประกอบด้วยชายล้วนขึ้นมา

ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะในประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ยกเว้นปากีสถานและบังกลาเทศที่มองว่าสตรีนั้นมีความเหมาะสมกับอาชีพอื่นมากกว่าการเป็นนักปกครอง

โดยฏอลิบานได้ออกมากล่าวตั้งแต่เมื่อพิชิตกรุงคาบูลได้แล้วว่า สตรีจะไม่ได้รวมอยู่ในการเมืองการปกครอง หากแต่สตรีจะมีส่วนร่วมอยู่ในอาชีพอื่นๆ เช่น เป็นครูบาอาจารย์ แม่บ้าน พยาบาล และอาชีพอื่นๆ ที่มีความเหมาะสมกับพวกเธอ

แต่สิ่งที่อาจจะสร้างความแปลกใจกับผู้ติดตามการเมืองของอัฟกานิสถานอย่างใกล้ชิด น่าจะอยู่ที่การคาดหมายว่ามุลลอฮ์อับดุลกอนีย์ บาราดัร ผู้ร่วมก่อตั้งฏอลิบานจะขึ้นมาเป็นผู้นำ

แต่เขากลับมิได้เป็นผู้นำของฏอลิบานตามที่คนส่วนใหญ่คาดหมาย แม้ว่าบาราดัรจะเป็นตัวแทนทีมเจรจาของฏอลิบานที่กรุงโดฮามาตลอด และเป็นผู้ลงนามในเรื่องการถอนทหารเมื่อปลายปีที่แล้ว (2020) ก็ตาม

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ตำแหน่งสำคัญๆ ส่วนใหญ่จะไปตกอยู่กับผู้นำฏอลิบานที่ร่วมอยู่ในกลุ่มก้อนของผู้ต่อต้านการยึดครองของกองกำลังสหรัฐเป็นด้านหลัก

ฏอลิบานได้เลือกให้มุลลอฮ์ หะซัน อาคุนด์ (Mulla Hasan Akhund) เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ อันเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เขาเคยได้รับในรัฐบาลฏอลิบานก่อนที่จะถูกกองกำลังของสหรัฐผู้รุกรานขับเขาออกจากอำนาจไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา

ส่วนบาราดัรก็เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในสองรองนายกรัฐมนตรีของฏอลิบานมาแล้ว ตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นของอมีร ข่าน มุฏฏะกี (Amir Khan Muttaqi) ซึ่งมาจากนักรบติดอาวุธอีกคนหนึ่งของฏอลิบาน

เขาเองเคยได้รับตำแหน่งนี้มาแล้วเช่นกันในรัฐบาลฏอลิบานที่เข้าสู่อำนาจในปี 1996