สมศักดิ์ เทพสุทิน 2 ปีบนเก้าอี้ รมต.ยุติธรรม กับปริศนา ‘มันใกล้จะหมดเวลาอยู่แล้ว’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

 

สมศักดิ์ เทพสุทิน

2 ปีบนเก้าอี้ รมต.ยุติธรรม

กับปริศนา ‘มันใกล้จะหมดเวลาอยู่แล้ว’

 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยว่าตั้งแต่มาอยู่ที่กระทรวงนี้ร่วม 2 ปีกว่าๆ มีหลายอย่างที่ได้ทำ แต่ละอย่างเรียกว่า “มันโดน” คือบางเรื่องอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้ที่เข้ามาไม่ทำหรือมองไม่ออก ก็แล้วแต่ที่ว่าใครจะเจออะไรยังไง

แต่ส่วนตัวอยากจะค่อยๆ ลำดับภาพให้เห็นว่า อย่าง “ปัญหาคนล้นคุก” ตอนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมใหม่ๆ มีผู้ต้องขังอยู่จำนวน 390,000 คน ซึ่งถือว่าสูงมาก แต่วันนี้มีจำนวนผู้ต้องขัง 280,000 คน

คำพูดในอดีตที่เคยพูดกันว่านอนทับกัน เพราะคนหนึ่งมีพื้นที่ที่นอนได้ไม่ถึง 1 ตารางเมตร (ตร.ม.) บางเรือนจำ 0.7 ตร.ม. แต่วันนี้เราทำให้เข้าสู่มาตรฐานที่เราต้องการ

ผมได้พูดคุยกับทางกรมราชทัณฑ์และคนในกระทรวง ว่าเราต้องการจะทำให้มีที่นอน 1.2 ตร.ม. ให้ได้ ก็อยู่ที่ประมาณ 280,000 คน วันนี้เราก็ทำได้

หลายคนสงสัยว่าแนวทางในการดำเนินการ เราทำได้อย่างไร

มันมีที่มาจากหลายองค์ประกอบ อย่างแรกคือ เรามีกำไล EM มาติด/มีการพักโทษด้วยเหตุพิเศษ ซึ่งเดิมทีการพักโทษมีอยู่แล้ว แต่มีเหตุพิเศษเข้ามาอีกเพราะเราต้องการใส่กำไลให้คนออกไปทำงาน ให้เขามีรายได้

ประการต่อมาคือ การขอพระราชทานอภัยโทษ ต้องเรียนกับพี่น้องประชาชนว่า เราไม่ได้ขอให้กับทุกคนทุกกลุ่มที่กระทำความผิด ณ วันนี้เราจำแนกแบ่งผู้ต้องขังออกเป็น 3 กลุ่ม

ผมให้นามสัญลักษณ์ไว้ว่า กลุ่มแรกคือกลุ่มบนสุด คือเป็นพวกเทวดาตกสวรรค์ กลุ่มที่ 2 กลุ่มกลางๆ คือกลุ่มขุนแผน พวกขุนแผนติดคุก และ 3.กลุ่มล่างสุด คือกลุ่มบัวใต้โคลน เป็นกลุ่มที่จะไม่ได้รับการพักโทษหรือได้รับการอภัยโทษ เราจะไม่ขอให้กับคนกลุ่มล่างสุดคือคนกลุ่มที่มีกรณีคดีฆ่าข่มขืน ข่มขืนเด็ก ฆ่าเจ้าทรัพย์ ฆ่าหมู่ ฆ่าแบบคนเป็นโรคจิต เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เรียกค่าไถ่แล้วฆ่า

ส่วนคนที่อยู่กลุ่มบนๆ พวกคนรวย เทวดาตกสวรรค์ เช่น มีเช็คเด้งแล้วติดคุกก็เอาเงินมาไถ่ก็ออกไปเลย แค่มาพักชั่วคราวแล้วก็ออกไป ไม่ต้องเป็นห่วงพวกนี้มาก

แต่ว่าคนกลุ่มกลางๆ กลุ่มขุนแผนติดคุก ขุนแผนเป็นพระเอกในวรรณคดี เวลามีสงครามขุนแผนออกไปรบได้ วันดีคืนดี ขุนแผนก็ชกต่อยกับคนอื่น ส่วนใหญ่ก็คนทำมาหากินทั่วไป คนกลุ่มนี้เราก็ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ก็ทำให้ปัญหาคนล้นคุกมันลดลงมา

อีกกลุ่มที่ทำคู่ขนานกันนั่นคือกลุ่มที่เราเขียนกฎหมายขึ้นมาใหม่ เขียนกฎหมายขึ้นมาให้พักโทษได้ เช่น กฎหมายเรื่องกระท่อม ทันทีที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ คนที่มีคดีอยู่กว่า 20,000 ราย ได้รับผลหมดเลย (เช่น ที่มีติดอยู่แล้วพันกว่าราย) ก็ได้ออกทันที

แล้วจะมีกฎหมายอีกฉบับหนึ่งซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอน ใกล้สำเร็จเรียบร้อยแล้วก็คือประมวลกฎหมายยาเสพติด สำหรับกลุ่มนี้คนที่ติดคุกเกินกว่าตัวบทลงโทษที่เรากำหนดไว้ ก็จะได้ออกอีก ก็จะเห็นว่าเราสามารถลดความแออัด จนทำให้เกิดมาตรฐานในขณะนี้คือ 1.2 ตร.ม.

ในวันข้างหน้า ถ้าผมยังอยู่กระทรวงยุติธรรม ยังไม่ถูกปรับย้ายไปไหน จะทำให้ได้ถึง 1.6 ตร.ม.

ผมได้สั่งการอธิบดีไปแล้วว่า ที่นอน 1.6 ตร.ม.ต้องนำร่องในเรือนจำสัก 2-3 แห่งก่อน โดยจัดหาที่นอนหนาๆ มาให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ก็ทำตามลำดับขั้นตอน ค่อยเป็นค่อยไป เท่าที่พอทำได้

สําหรับประเด็นเรื่องกระท่อม สมศักดิ์บอกว่า อนาคตเราจะทำอะไรได้มากน้อยขนาดไหน ต้องดูกฎหมายลูก ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของวุฒิสภา ที่เราต้องการให้มีการขออนุญาตการปลูกเพื่ออุตสาหกรรมการส่งออก และห้ามขายให้กับคนท้อง คนมีครรภ์ และคนที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี ห้ามนำไปผสมเป็น 4 x 100 (ตัวกระท่อมไม่ได้เป็นยาเสพติด แต่คนเอายาเสพติดมาผสมมันก็ผิดกฎหมาย)

ส่วนการดำเนินการประมวลกฎหมายยาเสพติด เราปราบยาเสพติดมากันไม่รู้กี่สิบปีแล้วฆ่าตัดตอนบ้าง ก็ยังไม่สามารถจัดการกับยาเสพติดได้หมด เราก็ให้ใช้กระบวนการยึดทรัพย์และบังคับกฎหมายเข้มข้น จนเราเคยยึดทรัพย์กันได้ถึง 600 ล้านบาทต่อปี แต่ผมก็อยากจะให้ทำได้อีก 10 เท่า เราก็ได้ 7,300 กว่าล้านในปีนี้

ส่วนปีงบประมาณนี้จะขอใช้กฎหมายใหม่คือประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งตัวผมคาดว่าไม่นานเราจะได้ใช้กฎหมายใหม่นี้และบังคับยึดทรัพย์ย้อนหลังไป 10 ปี

สรุปคือตัวโทษเบาบางลง แต่โทษยึดทรัพย์ย้อนหลังจะหนักมากขึ้น

 

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่ดำเนินการไปเราก็ทำต่อเนื่อง และยังมีเรื่องใหม่ๆ ที่ยังค้างคาอยู่ เช่น เรื่องหนี้ภาคการศึกษา ของนักศึกษาที่จบไปแล้วมันมีปัญหากับผู้ค้ำประกันคือครูบาอาจารย์ ในอดีตโรงเรียนเขาต้องหาคนมาเรียนหนังสือ ก็มีการกู้เงินเพื่อการศึกษา คนหนึ่งคนค้ำประกันได้ไม่รู้ต่อกี่คน ที่ผ่านมาในอดีตระเบียบมันไม่แข็งแรง ไม่ชัดเจน เราก็ตั้งเป้าจะเคลียร์หนี้ตรงนี้

ก็จะเห็นวันนี้ที่ผ่านการบังคับคดี มีอยู่ 3 แสนกว่าราย เราก็จะเคลียร์ให้เสร็จในปีนี้

จริงๆ ตั้งใจจะพยายามทำให้เสร็จภายใน 6 เดือน ส่วนใหญ่มันเป็นเรื่องของการไกล่เกลี่ย ก่อนฟ้องจะเป็นหน้าที่ของกรมคุ้มครองสิทธิ์ หลังฟ้องจะเป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดี ที่บังคับขึ้นมาใหม่ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มีเงินเยียวยาช่วยเหลือตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทน ค่าทดแทนค่าเสียหายจำเลยในคดีอาญา เราก็ชดใช้ให้กับคนที่ถูกกระทำ

หรือแม้แต่กฎหมายที่ผมเสนอผ่านคณะรัฐมนตรีไปแล้วไม่น้อยกว่า 10 ฉบับ ซึ่งก็ผ่านไปมากแล้ว และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการอีกจำนวนหนึ่ง เราได้ดำเนินการไปมาก

สำหรับในปีงบประมาณนี้ ผมก็ประกาศว่าอยากจะยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดให้ได้อีกหมื่นล้าน ผมก็อยากจะทำให้เห็นว่างานอะไรที่เราเข้าใจเข้าถึงและทำได้จริงบ้าง

หรือแม้แต่ปัญหารถหรูที่แก้กันไม่ได้เสียที ผมก็ให้นโยบายกับอธิบดีใหม่ไปแล้วว่าปีนี้จะต้องทำให้เสร็จ ปีหนึ่งมีไม่รู้กี่พันคัน เราต้องหาเงินเข้าหลวง ซึ่งมีการคำนวณดูแล้วว่าปีหนึ่งจะมีภาษีนำเงินเข้าหลวงจากกรณีรถหรูได้อีกนับหมื่นล้าน

เรื่องพวกนี้ต้องทำให้ได้ ผมเองก็ตามจี้ทุกอาทิตย์ด้วยตัวเอง

ถามว่าสิ่งต่างๆ ที่เราทำลงไปนั้น จะบอกว่าผมพอใจไม่พอใจคงไม่ได้ เพราะผมเองเป็นคนทำ

แต่คนที่ดูผมก็คือสื่อหรือประชาชนหรือสังคม ถ้าหากว่าพอใจในสิ่งที่ผมได้ดำเนินการลงไปก็ช่วยสะท้อนออกมาให้เห็น

ที่กล่าวมายังไม่นับงานนอกเหนือกระทรวงคือการช่วยเหลือสังคม เช่น ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราก็เห็นได้ว่าฟ้าทะลายโจรที่ใช้ได้ผลที่เรือนจำเชียงใหม่ บางขวาง ใช้ได้ 5 พันกว่าคนที่รักษาหาย

แล้วก็เห็นได้ว่าวันนี้ ยาฟาวิพิลาเวียร์ ที่เคยมีมูลค่าสูงถึงเม็ดละ 100 กว่าบาท เหลือ 16 บาท เพราะอะไร เพราะว่าฟ้าทะลายโจรมันเหลือบาทเดียว มันมีตัวถ่วงอุปสงค์อุปทานให้มันลดราคาลงมา

นี่ก็เป็นสิ่งที่เราทำอะไรช่วยสังคมได้จริงๆ อาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์โดยตรงกับกระทรวงยุติธรรม แต่คนที่อยู่ในเรือนจำก็ได้ประโยชน์ ในราชการก็ได้ประโยชน์

มันส่งผลถึงยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีราคาสูงให้ลงมาได้

 

เมื่อถามถึง “ความฝัน” ที่ยังทำไม่สำเร็จ รมว.ยุติธรรมตอบทันทีว่า มีสิ่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการก็คือ ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พระองค์ท่านทรงมีแนวทางและพระราโชบายเกี่ยวกับเรื่องของการหางานให้กับคนที่พ้นโทษกลับไปทำ นั่นก็คือ นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ซึ่งในขณะนี้ได้ผ่านคณะรัฐมนตรีแล้ว และนิคมอันนี้ก็ได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพช่วยทำให้ เราก็จะนำคนที่พ้นจากการจองจำเข้าสู่นิคม

ผมเองได้มีโอกาสคุยกับบริษัทเดินเรือทะเลไทย โรงเรียนเดินเรือทะเลไทยก็มาคุยกันแล้วว่าเขารับคนของเรา ผมเลยสั่งให้ไปร่าง MOU มาแล้ว เดิมทีเราจะให้ผู้ต้องขังหรืออดีตผู้ต้องขังเขาไปหางานเอง กว่าจะได้งานมันก็หมดตัวก่อน หมดเงินก่อน เขาเหล่านั้นก็กลับไปสู่วงจรการกระทำผิดซ้ำอีก

ดังนั้น เราก็เลยจะหางานให้ไปเลย เติมงานให้เขาเข้าไป อย่าง บ.เดินเรือไทยก็เดินทางไปอ่าวไทย ไปทั่ว เป็นจุดเริ่มต้นที่เราอยากจะทำ ซึ่งเขาให้เงินได้ประมาณ 12,000 บาท พร้อมข้าวปลาอาหาร+ที่พักพร้อม โมเดลของ บ.เดินเรือไทยนี้ ผมก็คิดว่ามันไปต่อได้ ถึงแม้ว่ากระทรวงเราจะเป็นกระทรวงเล็กๆ แต่เราจะทำเป็นโมเดลให้ดู ว่าสามารถเดินไปได้

ตอนนี้นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ยังไม่เสร็จ แต่เราก็จะเอาคนออกไปทำงาน ด้วยการพักโทษด้วยเหตุพิเศษ อย่างสมุทรปราการ Model ก็มีการดำเนินการไปแล้วเริ่มแล้ว

รมต.สมศักดิ์ทิ้งท้ายว่า บางทีชาวบ้านก็ไม่ค่อยจะรู้ ว่าเราทำอะไรไปบ้าง อย่างเคยลงไปพื้นที่ภาคใต้ ชาวบ้านก็ยังไม่รู้เลยว่าผลงานกระท่อมใครเป็นคนทำ? และเมื่อถูกถามถึงอนาคตความเป็นอยู่ในเรือนจำของผู้ต้องขังกับมาตรฐานโลกอยู่ที่ 2.2 ตร.ม.จะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่

รมว.รีบตอบทันทีว่า ในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรียุติธรรมน่ากลัวจะไม่ได้เห็น

เพราะมันจะหมดเวลาอยู่แล้ว!!