ฉัตรสุมาลย์ : เผชิญหน้ากับความตาย

ช่วงนี้ผู้เขียนได้รับข่าวเพื่อนๆ ที่จากไปถี่ขึ้น

เพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่สมัยอยู่ราชินีบน ในช่วง 6 เดือนมานี้ ก็จากไปแล้วตั้งแต่ แอ๊ว (ภัทรพร มงคลนาวิน) แอ๊ด (วันเพ็ญ) เจ้าของร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในสมัยหนึ่ง คือร้านจิตรโภชนา คุณอ๊อด (ม.ร.ว.สร้อยทิพย์ เทวกุล) รายหลังนี้ ไม่ทราบข่าวเลย เมื่อทราบก็เผาไปเรียบร้อยแล้ว ได้แต่ส่งจิตไปลากันไกลๆ

ความตายเป็นเรื่องที่เรารังเกียจ เวลาพูดถึงความตายก็เห็นเป็นเรื่องอัปมงคล ถ้าไปงานมงคล งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานวันเกิด แล้วเราเอาเรื่องใครตายไปพูดบนโต๊ะอาหาร ถือเป็นเรื่องเสียมารยาทมาก

แต่ลองมาคิดดูใหม่ ทันทีที่เราเกิด เราก็ต้องตายแล้ว เพราะการเกิด การตายเป็นของคู่กัน พระท่านเรียกว่า ทวิธรรม ธรรมคู่ มันมาด้วยกัน มันเป็นเหรียญเดียวกันเลย เพียงคนละด้าน ถ้าการเกิดเป็นด้านหัว การตายก็เป็นด้านก้อย

แต่เราก็มีอคติกับความตาย เราจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตสำหรับวันเกิด โดยเฉพาะคนจีนที่อายุครบ 60 ลูกหลานก็จัดงานให้เป็นที่เอิกเกริก การไปงานวันเกิด บรรยากาศสนุกสนานเฮฮา

ตรงกันข้าม วันตายกลายเป็นความเศร้าโศก ต้องใส่สีดำ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องสีขาว

 

ทําไม่ถึงกลัวความตายกันนัก

ท่านธัมมนันทาอธิบายจากศัพท์ภาษาอังกฤษ ในคำว่า Death โดยแตกอักษรออกมาเป็น

D คือ definite นั่นคือ แน่นอน ทุกคนต้องตาย ยังไม่มีใครไม่ตาย

E คือ equality ความตาย น่าสนใจมากว่าเป็นตัวที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครตายน้อยกว่า หรือมากกว่าใคร ความตายคือความตาย เป็นการเปลี่ยนผ่านของภพจากภพหนึ่งไปสู่ภพหนึ่ง ความตายไม่เคยละเว้น เลือกตายเฉพาะคนจน และปล่อยคนรวยไว้ ยากจน ผู้ดี ไพร่ ตายเหมือนกัน

A คือ Afraid กลัว หากเราไม่เข้าใจธรรมชาติของชีวิตและความตาย เราก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา ที่กลัวก็เพราะไม่รู้ ทำอย่างไรที่จะให้หายกลัว เดี๋ยวเรากลับมาคุยกันต่อ

T คือ time เวลาที่จะตาย ไม่มีใครรู้ ยากกว่าการเกิดนะ สมัยใหม่นี้มีการกำหนดให้หมอผ่าท้องให้ลูกคลอดเวลาที่เป็นฤกษ์มงคล อันนี้เข้าไปกำหนดธรรมชาติ มีผู้ใหญ่สอนว่า ไม่ดี อย่าทำ เวลาตายเราไม่รู้ เราจึงไม่สามารถเตรียมท่าตายให้สวยได้ ไม่เหมือนตอนที่เราเล่นเซลฟี่นะ อย่างที่ไปตายบนทางด่วนเชียงราก เมื่อเร็วๆ นี้

H คือ how อย่างไร จะตายอย่างไรก็ไม่รู้อีก

ก็เพราะความตายจะเกิดเมื่อไร อย่างไรที่เราไม่สามารถจะคาดเดาหรือวางแผนได้นี้แหละ จึงทำให้เรากลัว กลัวเพราะไม่รู้นั่นแหละ

ทีนี้ ไอ้ที่ทำไว้ในชีวิตนี้ ก็มีทั้งกุศล และอกุศล พลังกุศล หรือพลังอกุศลที่จะนำเราไปสู่ภพหน้าที่เราไม่ได้วางแผน ยังไม่ได้เตรียมตัว ในพระบาลีเล่าเรื่องวัวขาว วัวดำ ที่อยู่ในคอก มีประตูอยู่ประตูหนึ่ง ที่จะถูกเปิดออกจากข้างนอก

ลักษณะที่ประตูจะถูกเปิดออกเวลาใดที่เรากำหนดไม่ได้ ถ้าวัวขาวอออยู่ตรงประตู วัวขาวก็จะหลุดออกไป ตรงกันข้าม ถ้าเป็นวัวดำที่อออยู่ที่ประตู วัวดำก็จะหลุดออกไป

จิตที่ออกจากร่างเปลี่ยนภพภูมิก็เหมือนวัวขาว หรือวัวดำนี่แหละ

แม้คนที่ปฏิบัติมาดี เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาด้วยซ้ำ ช่วงการเปลี่ยนผ่าน เพียงแวบเดียวก็อาจจะพลิกผันการจุติ (จุติแปลว่า เคลื่อน) ได้

 

มีเรื่องเล่าในพระบาลีว่า พระอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง มีลูกศิษย์มากมาย ตอนที่จะดับจิตนั้น ตาท่านมองเห็นจีวรผืนใหม่เนื้อดีที่เพิ่งมีคนนำมาถวาย ดับจิตปั๊บไปจุติเป็นเล็นอยู่ในจีวร

ที่เราจะรู้เรื่องนี้ เพราะเมื่อพระภิกษุมรณภาพ คณะสงฆ์ก็เข้ามาเก็บกวาดกุฏิ และแบ่งสมบัติของท่านแจกจ่ายไปในหมู่พระสงฆ์ สำหรับกรณีนี้ พระพุทธเจ้าทรงขอร้องว่า อย่าเพิ่งเอาจีวรใหม่ของท่านอาจารย์รูปนี้ไปให้ใคร ขอเวลาไว้สัก 1 อาทิตย์

พระภิกษุสงฆ์ก็สงสัย กราบทูลถามถึงเหตุผล

พระพุทธองค์จึงทรงเล่าว่า วิญญาณของท่านอาจารย์ผู้นั้นไปจุติเป็นเล็นอยู่ในจีวร เล็นมีอายุเพียง 7 วัน ให้พ้น 7 วันไปก่อน แล้วจึงนำจีวรของท่านไปแจกจ่ายกันได้ตามควร

เรื่องนี้ทำให้เรามาคิดหนักทีเดียวว่า ทำอย่างไรที่จะแน่ใจว่า ตอนดับจิต เราจะไปสู่ภพภูมิที่ดี เจ้ากรรมเราแต่ละคนก็ล้วนประกอบกรรมมาทั้งดีและเลว

 

องค์ทะไลลามะ องค์ที่ 14 (คือองค์ปัจจุบัน) เคยตั้งคำถามให้เราฉุกคิดว่า พรุ่งนี้กับชาติหน้า ไหนจะมาก่อน

เราตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า แหง พรุ่งนี้มาก่อน

พอท่านถามย้ำอีกที เราได้คิด และขยักใจว่า ใช่นะ เราอาจจะตายคืนนี้ เพราะฉะนั้น ชาติหน้าก็อาจจะมาก่อนได้

เราเห็นข่าวคนตายโดยกะทันหัน เราเห็นข่าวอุบัติเหตุที่พรากชีวิตคนไปต่อหน้าต่อตา คนที่ตายเหล่านั้นก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องตาย ถ้าถามเขา เขาก็จะบอกว่า พรุ่งนี้ต้องมาก่อน

เมื่อความตายมันไม่แน่นอนอย่างนี้ เราต้องฉลาดขึ้น โดยการสร้างวัวขาวให้มากขึ้น วัวดำที่มีอยู่แล้ว ก็ยังคงอยู่ แต่จำนวนวัวขาวมากขึ้นเป็นเท่าตัว โอกาสที่วัวขาวจะหลุดออกไปเมื่อประตูเปิดก็มีสิทธิมากขึ้น

การสร้างวัวขาว คือการรักษาชีวิตปัจจุบันให้เป็นปกติ กลไกที่จะช่วยให้ชีวิตเป็นปกติ คือศีล ศีลเป็นเครื่องยังชีวิตให้เป็นปกติ

 

การรักษาศีลเป็นเครื่องช่วยให้เรามีเครื่องคุ้มกันโดยธรรมชาติ เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาฆ่าเรา

เมื่อเราไม่ลักขโมยของคนอื่น เราก็ไม่ต้องหวาดระแวงว่าเมื่อไรตำรวจจะมาจับเรา

เราไม่ได้เป็นชู้กับผัวหรือเมียของชาวบ้าน เราก็ไม่ต้องสะดุ้งตื่นกลัวว่าเมื่อไรเมียหลวงจะเอาน้ำกรดมาสาดหน้าเรา

เราไม่พูดเท็จ เราก็ไม่ต้องประสาทว่า เจอคนนี้เราต้องเล่าเรื่องนี้ว่าอย่างไร เพราะทุกเรื่องที่พูดเป็นความจริง พูดกับใครก็เรื่องเดียวกันทั้งนั้น คนที่โกหกนี้ ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะทางความจำ อย่าไปริโกหก ตัวเราเองนั่นแหละจะหลุดและเผยความจริงให้คนอื่นจับได้ในที่สุด

ในมหาปรินิพพานสูตร บนเส้นทางสุดท้ายที่พระพุทธองค์เสด็จจากเวสาลีไปยังเมืองกุสินาราเพื่อปลงอายุสังขารนั้น พระองค์ทรงแสดงธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องของศีล สมาธิ และปัญญา ทำให้เราต้องหวนกลับมาให้ความสนใจจริงๆ ในการปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างจริงๆ จังๆ มากขึ้น

เราประมาทกับศีลไม่ได้ เพราะเป็นฐานบาทสำคัญในการพัฒนาตนจริงๆ บางครั้งพระภิกษุที่ท่านไปอยู่ต่างประเทศ ต้องสอนสมาธิให้ชาวต่างประเทศ ท่านก็จะอะลุ้มอล่วย ไม่ให้ศีล เพราะชาวต่างประเทศไม่ได้นับถือพุทธ ตรงนี้ไม่น่าจะถูกต้อง

สัมมาสมาธิไม่เกิดหากเราไม่มีศีล แม้ชาวต่างประเทศที่นับถือศาสนาอื่นก็ควรรับศีล ในความเป็นจริงส่วนที่สองในบัญญัติ 10 ประการ ของยิวและคริสต์ไม่ใช่อื่นเลย ใกล้เคียงกับศีล 5 ของพุทธมาก

 

ในมรรคมีองค์ 8 นั้น เริ่มต้นจากสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่มีความเห็นชอบก็ไม่นำไปสู่การปฏิบัติชอบ สมาธิชอบไม่เกิด

ยิ่งเรากลัวความตายเท่าใด การรักษาชีวิตของเราในปัจจุบันให้เป็นปกติยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ อะไรอื่นที่เราให้ความสำคัญนั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะต้องจัดลำดับว่าอะไรสำคัญมากน้อยเพียงใด

สมมติว่า เราเหลือวันนี้เป็นวันสุดท้าย เราจะจัดการอย่างไรกับเวลา 24 ชั่วโมงที่เรามี ลองคิดแบบนี้ เราจะสามารถตัดอะไรที่มันรกรุงรังออกไปจากตัวได้มากทีเดียว

เรื่องที่เราเคยโกรธเพื่อนข้างบ้าน ชนิดไม่พูดกันมา 4 ปีแล้ว พอเราคิดอย่างนี้ได้ เราเป็นคนเริ่มต้นทักทายเขาก่อน ปรากฏว่าเขาก็ยินดีที่จะพูดคุยกับเรา

ท่านธัมมนันทาสอนลูกศิษย์คนหนึ่งไปแบบนี้ ได้ผล และปรากฏว่าอีกเดือนหนึ่งต่อมาพ่อบ้านของเพื่อนบ้านคนนั้นก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน เรียกว่าหายโกรธกันก่อนที่เขาจะจากไป บุญโขทีเดียว มิฉะนั้น จะจากกันโดยที่ไม่ได้พูดจากันเลย จะผูกใจกันไปข้ามภพข้ามชาติเสียเปล่า

การคิดถึงความตาย จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะเจริญชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น สละสิ่งเศร้าหมองใจออกไป และตั้งมั่นอยู่ในกุศลเสมอ เรียกว่าเป็นการเตรียมตัวตายที่ชาญฉลาด

องค์ทะไลลามะเคยเล่าว่า ท่านคิดว่าท่านฝึกเตรียมตัวตายมาอย่างดี แต่แม้กระนั้น ก็ยังไม่แน่ใจว่า เมื่อถึงเวลาเดินทางจริงๆ ท่านจะทำได้อย่างที่เตรียมหรือเปล่า

เป็นกำลังใจให้เราท่านตั้งใจรักษาพื้นฐานใจให้มั่นอยู่ในกุศลเสมอ