กับตะกอนในความทรงจำ และเรื่องที่ ‘ถ้าย้อนเวลากลับไปได้’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

บอม ธนิน

 

กับตะกอนในความทรงจำ

และเรื่องที่ ‘ถ้าย้อนเวลากลับไปได้’

 

“โชคชะตาคงพามาครับ” บอม-ธนิน มนูญศิลป์ ว่าอย่างนั้น

ซึ่งใช่ เขาพูดไม่ผิด เพราะอันที่จริงนอกจากการแสดงจะไม่ได้เป็นอาชีพที่นึกฝัน เส้นทางชีวิตก่อนที่เขาจะอายุได้ 21 ปี ก็ไม่ได้เฉียดใกล้

“เรียนไม่ตรงสายด้วยซ้ำ” บอมผู้เรียนจบปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ บอก

อย่างไรก็ดี ‘อะไรบางอย่างที่นำพา’ น่าจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง “เพราะถ้าเราเลือกที่จะไม่เทก มันก็ได้ ผมจึงเชื่อในความพยายามของผมด้วย”

บอมซึ่งปัจจุบันอายุ 29 บอกว่า 8 ปีในวงการนี้ “เป็นประสบการณ์ชีวิต ที่ในหนังสือ ในตำราเรียน ไม่เคยบอกไว้”

และ “เป็นอะไรที่หาซื้อไม่ได้”

“สิ่งเหล่านี้แม้ว่าจะอธิบายเป็นคำพูดมากเท่าไหร่ ก็จะไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกได้เท่ากับเจอเอง”

“สำหรับผม คำว่าดารากับนักแสดงไม่เหมือนกันนะ ดาราเหมือนดาว เหมือนคนดัง แต่ผมชอบคำว่านักแสดงมากกว่า คำว่านักแสดงสำหรับผม คือคนที่สามารถเข้าถึงทุกบทบาท เล่นละครแล้วไม่เหมือนตัวจริง เล่นเรื่องนี้ เรื่องนั้น แล้วแคแร็กเตอร์เปลี่ยน ไม่ซ้ำ”

“แต่ถ้าเกิดดาราคือคนดัง อย่างนั้นคนดังคนไหนก็เป็นดาราได้”

 

“ผมยังจำได้ครับ…” บอมขึ้นต้นประโยคเมื่อบทสนทนาพามาถึง ก้าวแรกของการเป็นที่รู้จักของแฟนๆ ก่อนบอกต่อด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่เป็นประกายว่า “เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยคาดคิดไว้ก่อน รู้สึกว่าว้าวมากเลยนะ จากใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ เป็นคนที่มีแต่คนรู้จัก เรียกชื่อ รู้ว่าเราเป็นใคร รู้สึกเหมือนตัวลอย ดีใจที่สามารถสร้างบทบาท แล้วคนถูกใจ”

ก่อนที่ทุกสิ่งจะพลิกผัน ถูกวิจารณ์หนักเรื่องความสามารถทางการแสดง ซึ่งอย่าให้เล่า เพราะบอมซึ่งถึงตอนนี้แววตาเปลี่ยนไป ไม่สดใสเหมือนตอนแรก บอก “โค-รเยอะ และต้องเซ็นเซอร์ พูดไม่ได้จริงๆ”

“แต่สิ่งที่เกิด สุดท้ายพอผ่านเวลามา มันก็มีบทเรียน”

“ผมชอบคำพูดถึงที่ไปฟังมาจากน้าเน็ก (เกตุเสพสวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) เขาบอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกสวยงามเสมอ คือสุดท้ายไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ดีหรือแย่ เวลาเรามองย้อนกลับไป จะมีประสบการณ์ที่ทำให้เราดีขึ้น เราจะเป็นคนที่เข้าใจโลกมากขึ้น เป็นคนที่เก่งขึ้น แกร่งขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว”

“แรกๆ ผมไม่เข้าใจหรอก จนกระทั่งผ่านเวลามา โอเค เข้าใจโลกมากขึ้นจริงๆ จากสิ่งที่ดีและร้ายที่มันผสมกัน ทำให้เข้าใจว่าเราควรจะแคร์อะไร ควรจะรับมือยังไง”

หากถึงจะพูดได้ แต่เอาเข้าจริง “ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นคนรับมือกับปัญหาได้ดีหรือเปล่า”

“น่าจะไม่ดี” เขาว่า

“แต่กฎของเวลามันทำงาน ทุกอย่างจะถูกเยียวยาให้จางหาย เหลือแต่ตะกอนบางอย่างในความทรงจำ”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างที่เวลายังช่วยเยียวยาไม่เสร็จ บอมยอมรับว่า มีหลายครั้งที่เขาคิดจะยอมแพ้

“คิดว่าไปทำอย่างอื่นดีกว่า อย่างอื่นที่เราทำได้ดี”

“มันเหนื่อยที่ทุกวันตื่นมาต้องพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งคำนี้พูดดูง่ายนะ ทำจริงนี่ โอ้โห…ยากมากเลย ผมใช้เวลากี่ปีไม่รู้ คืออยู่มา 8 ปี แต่เพิ่งจะได้รับการยอมรับดีๆ ช่วง 2-3 ปีหลัง เท่ากับว่า 5 ปีที่ผ่านมา ผมเจออะไรก็ไม่รู้ แล้วผมไปจำคอมเมนต์ที่แย่ๆ ผมคือจุดต่ำสุดของวงการ ไม่มีใครแย่เท่านี้แล้ว เป็นก้อนหิน ต้นไม้ คนเอามาล้อกันแฮปปี้ ผมก็เห็น ก็ยินดีที่คนเอามาล้อฮาๆ แต่ว่าคำฮาๆ เหล่านั้นมันทำให้ชีวิตคนคนหนึ่งพัง ซึ่งผมว่าคนเหล่านั้นก็ไม่รู้หรอก เขาก็แค่สนุก ไม่สนใจอะไร”

 

ยังดีที่ตอนเขาคิดจะยอมแพ้ คิดว่า “ตรงนี้คงไม่ใช่ที่ของเรา” มีผู้ใหญ่ในช่อง ผู้จัดละคร และอีกหลายๆ คนให้กำลังใจ

“เขามองว่าเราไปต่อได้ มีศักยภาพ ไม่แย่ถึงขนาดที่โซเชียลด่า โชคดีมากๆ ที่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง มีโอกาสที่ยังได้อยู่ตรงนี้”

เขายังบอกว่า ถ้าหากคนเราสามารถย้อนกลับไปได้จริงๆ เขาก็อาจจะไม่เลือกทำอาชีพนี้

“เพราะจริงๆ แล้ว ผมมีอีกความฝันหนึ่ง ตอนนั้นจะเรียนจบแล้ว และระหว่างที่จะไปอยู่ต่างประเทศกับมาทำงานตรงนี้ ผมเลือกที่จะรับโอกาสเล่นละคร”

“ถ้าย้อนกลับไปได้จริงๆ ถ้าผมรู้ว่ามาทางนี้จะเจออันนั้น ก่อนที่จะเป็นตรงนี้ ผมจะบอกตัวเองว่า ไปทำอีกอันเถอะ”

ส่วนเมื่อถามว่าเขาอยากบอกอะไรกับบอม-ธนิน มนูญศิลป์ บ้างไหม?

คำตอบที่ได้มาอย่างทันควันคือ “อยากบอกว่าเก่งนะ เก่งกว่าที่คิด”

“เผลอๆ ผมเชื่อว่าอาจจะมีบางคนที่ฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้มั้ง แต่พอผ่านมาถึงขั้นนี้ก็ใช้ได้เลยว่ะ ก็พยายามมีความสุขนะ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทุกอย่าง แล้วเอาประสบการณ์เหล่านี้ให้กับทุกคนรุ่นต่อไปด้วยก็ดี”

“และไม่อยากให้ใครได้มาเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน”