ภาพยนตร์/WAR FOR THE PLANET OF THE APES “ศึกวานรชิงพิภพ”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

WAR FOR THE PLANET OF THE APES “ศึกวานรชิงพิภพ”

กำกับการแสดง Matt Reeves

นำแสดง Andy Serkis, Woody Harrelson, Steve Zahn, Amiah Miller

คิดสะระตะแล้วก็เฉียดห้าสิบปีเข้าแล้วที่ผู้เขียนดูหนังเรื่อง The Planet of the Apes ฉบับดั้งเดิมใน ค.ศ.1968 (พ.ศ.2511)

เป็นหนังไซไฟที่มี ชาร์ลตัน เฮสตัน เล่นเป็นมนุษย์อวกาศที่เดินทางรอนแรมสำรวจอวกาศมายาวนาน และเกิดยานขัดข้องไปตกลงบนดาวดวงหนึ่งซึ่งมีบรรยากาศคล้ายโลก แต่มีอารยธรรมสลับกันไปคนละทางกับโลกที่เราอยู่นี้ นั่นคือ มนุษย์กับวานรมีบทบาทสลับกัน นั่นคือเป็นโลกที่ลิงเป็นสัตว์ประเสริฐ และมนุษย์เป็นสัตว์เดรัจฉาน

ด้วยรูปร่างหน้าตาคมเข้มราวกับจะฉายรัศมีเรืองรองรอบตัว เฮสตันเป็นพระเอกยอดนิยมสำหรับหนังประวัติศาสตร์ที่ย้อนยุคไปไกลๆ อาทิ เบนเฮอร์ หรือ บัญญัติสิบประการ

หนังอีกเรื่องที่ผู้เขียนจำได้ว่าเขาเล่นคือ Soylent Green ซึ่งเป็นหนังไซไฟที่ยังจำเรื่องได้พอเป็นเค้าๆ ถึงความน่ากลัวของโลกอนาคต แต่พูดนอกเรื่องไปหน่อยแล้วค่ะ

ย้อนกลับมาใหม่ Planet of the Apes ฉบับดั้งเดิมนั้นนับเป็นหนังเรื่องหนึ่งซึ่งมีภาพติดตราตรึงใจผู้เขียน

สมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์สร้างภาพให้เหมือนจริงได้อย่างทุกวันนี้ ลิงในหนังก็คือคนในชุดลิงและแต่งหน้าแต่งตาเป็นลิงเท่านั้น จึงไม่ใช่ภาพทั่วๆ ไปในพิภพวานรนั้นจึงไม่ได้น่าประทับใจมาก

แต่ภาพที่จำได้ติดตาคือภาพในตอนจบเรื่อง ซึ่งหลังจากการผจญภัยทั้งหลายทั้งปวงและการหนีเอาตัวรอดของพระเอกแล้ว ในที่สุดก็หนีไปสู่ดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้น มีรูปปั้นเทพีแห่งเสรีภาพที่ปัจจุบันตั้งตระหง่านอยู่ปากน้ำที่มหานครนิวยอร์ก ล้มตะแคงอยู่ท่ามกลางสิ่งปรักหักพัง

เป็นบทสรุปของหนังว่า พระเอกนักบินอวกาศของเราเดินทางจากโลกไปช้านานและวนกลับมาสู่จุดตั้งต้นในกาลเวลาที่อารยธรรมของมนุษย์บนพิภพถูกทำลายไปหมดสิ้น และลิงได้วิวัฒนาการขึ้นมาสร้างอารยธรรมใหม่แทนที่มนุษย์

หนังเรื่องนี้ทำให้ทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่ได้ยินได้ฟังมา กลายเป็นรูปธรรมอย่างน่าตื่นใจขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับทฤษฎีที่นำไปสู่การสร้างระเบิดปรมาณูที่มีความสามารถทำลายล้างโลก ทฤษฎีว่าด้วยอวกาศที่เป็นเส้นโค้ง (นั่นคือ ถ้าเราเดินทางตรงไปเรื่อยๆ ในอวกาศ สักวันเราจะกลับมาอยู่ที่จุดเดิม) และความคิดที่ว่ากาลเวลาเดินไปไม่เท่ากันในที่ต่างๆ (เวลาในอวกาศจะช้ากว่าเวลาบนโลก) เป็นต้น

อย่างที่ทราบกันแล้ว หนังเรื่องนี้ได้รับการนำมาสร้างใหม่ใน ค.ศ.2001โดยฝีมือของผู้กำกับฯ ทิม เบอร์ตัน และมี มาร์ก วอห์ลเบิร์ก มารับบทของ ชาร์ลตัน เฮสตัน

แม้ว่าด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน หนังจะสร้างภาพของพิภพวานรได้สมจริงขึ้น แต่ก็ขาดพลังกระทบอย่างแรงของหนังดั้งเดิม แต่อย่างน้อยก็เป็นเวอร์ชั่นใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยดูหนังดั้งเดิม

พิภพวานรจึงออกลูกตามมาเป็นไตรภาค แต่เป็นลูกที่เกิดก่อนพ่อ นั่นคือเป็นพรีเควล (เรื่องราวที่ย้อนไปก่อน) เพื่ออธิบายถึงที่มาของโลกที่มีลิงครองและมีมนุษย์เป็นทาสรับใช้

Rise of the Planet of the Apes จึงตามมาด้วย Dawn of และมาจบลงที่ War for ของหนังภาคที่ฉายอยู่ขณะนี้

ซีซาร์ (แอนดี้ เซอร์คิส ที่เป็นร่างทรงคอมพิวเตอร์ของวานรตัวพระเอก) ซึ่งเป็นลิงในห้องทดลองที่ได้รับการเพิ่มพูนสติปัญญาจาก Rise หลุดออกมาต่อสู้ฟาดฟันกับโคบา เพื่อนลิงที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของมนุษย์ใน Dawn และใน War ซีซาร์พาพลพรรควานรหลบลี้หนีหน้ากองทัพมนุษย์ที่ติดตามล่าและเข่นฆ่าลิงให้สิ้นซากไปจากพื้นพิภพ

แต่มนุษย์ก็ยังไม่ยอมเลิกราที่จะราวีกับวานรที่กำลังมีวิวัฒนาการทางสติปัญญาใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น

ใน War ผู้ร้ายคนสำคัญคือ นายพันเอก (วู้ดดี้ แฮร์เรลสัน) ผู้กระหายเลือดและโหดเหี้ยมอำมหิต ที่จองล้างจองผลาญต่อเผ่าพันธุ์วานรแบบถอนรากถอนโคน

เมื่อนายพันเอกส่งกองกำลังไปซุ่มโจมตีและสังหารพรรคพวกของซีซาร์ไปมาก รวมทั้งลูกเมียของเขา ซีซาร์ก็มุ่งหน้าออกเดินทางด้วยภารกิจแน่วแน่เพียงอย่างเดียว คือจัดการกับนายพันเอกผู้กระหายเลือด

ทว่า ใน War นี้ไม่ได้มีภาพของสงครามจริงๆ ระหว่างลิงกับมนุษย์ นอกจากการลอบจู่โจมครั้งสองครั้ง อันที่จริงนี่เป็นสงครามในใจของซีซาร์มากกว่า นั่นคือซีซาร์ต้องต่อสู้อยู่ในใจว่าจะเข่นฆ่าศัตรูหรือว่ารักษาทัศนะสันติวิธีของเขาไว้

ในท่ามกลางวิกฤตการณ์ผันแปรครั้งสำคัญทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเมื่อลิงกำลังก้าวขึ้นมามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเทียมมนุษย์ โลกก็เกิดโรคระบาดจากไวรัสที่ได้รับการขนานนามว่า “ไข้หวัดลิง” (Simian flu) ซึ่งจะทำให้สมรรถภาพเยี่ยงมนุษย์ถดถอยลง อาการแรกของผู้ติดเชื้อคือ การหมดความสามารถทางด้านภาษาสื่อสาร นั่นคือ คนที่เป็นไข้หวัดลิงจะกลายเป็นใบ้

นี่เป็นการพัฒนาเรื่องซึ่งทำให้หนังแทรกอารมณ์อ่อนโยนเข้ามา โดยการให้กลุ่มลิงที่ติดตามซีซาร์ไปพบตัวเด็กหญิงหน้าตาน่าเอ็นดูที่พูดไม่ได้ และให้ร่วมกลุ่มไปด้วย ซึ่งทำให้หน้าตาอันดำมืดขนรุงรังแบบลิงๆ มีใบหน้าขาวผ่องของเด็กหญิงสวยบริสุทธิ์แทรกเข้ามาให้สว่างสดใส

นอกจากนั้น ยังมีมุขตลกแทรกเข้ามาประปราย โดยที่พลพรรคลิงไปเจอเข้ากับ “ลิงร้าย” (Bad Ape ที่สวมบทโดย สตีฟ ซาห์น) ซึ่งเคยเป็นลิงอยู่ในสวนสัตว์ และหลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ลำพัง ซึ่งเป็นลิงพูดได้อีกตัวในหนัง

นายพันเอกก็มีเหตุผลของตัวเองในการจองล้างจองผลาญต่อเผ่าพันธุ์วานร โดยใช้ประโยชน์จากพวกลิงที่เขาเกลี้ยกล่อมมาเป็นพวก ซึ่งโดนเรียกว่า “ลา” (donkey ซึ่งเป็นคำล้อเสียงของ monkey และมีคำเปรียบว่าโง่เหมือนลา)

เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงรายละเอียดเรื่องราวของหนัง ผู้เขียนขอบอกเพียงว่า ช่วงครึ่งหลังของหนังให้ความรู้สึกคล้าย Twelve Years a Slave และฉากสุดท้ายก็กลายเป็น Moses ที่พาชาวยิวจากอียิปต์มาสู่ดินแดนใหม่อันเรืองรอง

หนังเรื่องนี้เชื่อมรอยต่อของพรีเควลเข้ากับหนังพิภพวานรเรื่องหลักให้เข้ากันพอดิบพอดี

เป็นภาคสุดท้ายของไตรภาคที่หนักแน่นและน่าดูค่ะ