เครื่องเคียงข้างจอ/เชียร์เจ….ผ่านจอ

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

เชียร์เจ….ผ่านจอ

เมื่อวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในวงการฟุตบอลบ้านเราได้จารึกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย โดยเฉพาะกับคนในวงการฟุตบอลและแฟนๆ บอลชาวไทยทั้งหลาย

นั่นคือการลงสนามในฐานะนักเตะไทยคนแรกในศึกเจลีก 1 ของ เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์

ทำไมเรื่องนี้จึงดูเป็นเรื่องคึกคักโครมครามนัก โดยเฉพาะในแวดวงฟุตบอล

เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ “นักเตะไทย” จะมีฝีเท้าถึงขั้นจนเป็นที่ยอมรับของโค้ชและเพื่อนนักเตะให้ลงเป็นตัวจริงในลีกสูงสุดของญี่ปุ่นมาก่อน

แต่ เจ-ชนาธิป ทำได้

เรื่องฝีเท้าและเรื่องเซนส์บอลของเจนั้นเป็นที่ประจักษ์และยอมรับมานานแล้วในแวดวงของฟุตบอลไทย

ทั้งที่ปรากฏต่อสายตาในฐานะนักเตะของสโมสรเอสซีจีเมืองทอง และทั้งในฐานะนักเตะทีมชาติไทย

เมื่อปลายปีที่แล้วที่มีข่าวถึงการบรรลุข้อตกลงของสัญญาการยืมตัวเจ-ชนาธิป ในระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งของทีม คอนซาโดเล ซัปโปโร ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งของวงการฟุตบอลบ้านเรา เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเจนั้น “ฝีเท้าถึง”

แต่เรื่องที่จะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงหรือไม่นั้น อันนี้ต้องใช้การพิสูจน์

เพราะเจต้องเรียนรู้ถึงระบบการเล่นของทีมใหม่ เรียนรู้ถึงเพื่อนร่วมทีมใหม่ๆทั้งยังต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตที่ซัปโปโร ทั้งเรื่องสภาพอากาศ เรื่องภาษา เรื่องอาหารการกิน การพักผ่อนนอนหลับ และเรื่องการฝึกซ้อมที่สำหรับญี่ปุ่นแล้วได้ชื่อว่า “มีวินัย” อย่างมาก

ลำพังแค่ฝีเท้าอย่างเดียวไม่รับประกันถึงความสำเร็จ

หากใครได้รู้ถึงประวัติที่มาของชนาธิป คงจะทราบดีว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ เขาต้องต่อสู้กับอะไรมากมาย ที่แน่ๆ คือ การก้าวข้ามสรีระที่สูงเพียง 158 ซ.ม. ของเขา ที่มักจะถูกปฏิเสธตั้งแต่เริ่มแรก

ต้องมุมานะฝึกซ้อมฟุตบอลอย่างหนักตั้งแต่เด็กๆ จนพาลจะเลิกราก็หลายหน ดีที่ได้ครอบครัวคอยให้กำลังใจและสนับสนุนมาตลอด

เด็กอื่นฝึกเท่านี้ แต่เจมุ่งมั่นฝึกฝนหนักกว่าคนอื่น เพื่อถีบตัวเขาให้โดดเด่นขึ้นมา

และเมื่อเขาได้รับโอกาส เขาก็จะทุ่มเทเกินร้อยในทุกครั้งที่ลงสนาม

จากการพาทีมโรงเรียนพณิชยการราชดำเนินที่เขาศึกษาอยู่คว้าถ้วยพระราชทานฟุตบอลกรมพละรุ่น 18 ปีมาครอง และต่อมาก็ได้ติดทีมสโมสรบีอีซีเทโรศาสน

และเล่นโดดเด่นจนได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2012

ประวัติศาสตร์ของการรับใช้ทีมชาติของเขา เริ่มจากการถูกเรียกให้ติดทีมชาติในศึก AFF Suzuki Cup ปี 2012 และเขาก็ถูกจับตามองว่าเป็นนักเตะอนาคตไกล และได้ขยับมาติดทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี และ 23 ปี ตามลำดับ โดยเฉพาะรุ่นนี้ที่สร้างกระแสฟุตบอลไทยฟีเวอร์อย่างมากในยุคของโค้ชซิโก้

ตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าในการแข่งขัน AFF Suzuki Cup 2 ปีซ้อนที่ไทยเราได้แชมป์ ในปี 2014 และ 2016 เป็นบทพิสูจน์อย่างดีถึงพรสวรรค์และฝีเท้าของเขา

เมื่อเขาเหินฟ้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมคอนซาโดเล ซัปโปโร เขายังต้องปรับตัวต่อแทคติคของทีมและเพื่อนร่วมทีมอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเดินก้าวแรกได้ดีเพียงไร

จากการซ้อมปกติ เขาได้รับการทดสอบฝีเท้าในแมตช์อุ่นเครื่อง ซึ่งเจก็ทำได้ดีจนได้รับกำลังใจจากทีมและแฟนบอลชาวญี่ปุ่น

ความเชื่อมั่นมีมากขึ้นเมื่อทีมของเขาบินมาอุ่นเครื่องกับทีมเก่าอย่างเอสซีจีเมืองทองเมื่อราวกลางๆ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ครึ่งแรกที่เขาเล่นในทีมใหม่อาจจะไม่โดดเด่นนัก เพราะเพื่อนนักเตะยังไม่ไว้วางใจจ่ายบอลให้เขาได้โชว์ฝีเท้าเท่าไรนัก

แต่เพชรก็คือเพชร เมื่อครึ่งหลังที่เขาเปลี่ยนมาเล่นกับเพื่อนเก่าของทีมเมืองทองที่เข้าขากันเป็นอย่างดี เจก็โชว์สเต็ปเท้าหลอกล่อเอาตัวรอดจากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างดีจนกระทั่งได้เปิดลูกโยนสวยๆ ให้เฮเบอร์ตี้ของทีมเมืองทองซัดเต็มเท้าเข้าไปเป็นประตูชัยของแมตช์ที่ว่านี้

นั่นจึงเท่ากับเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพฝีเท้าของเขาเป็นอย่างดี

จนเมื่อกลับไปญี่ปุ่น และได้ลงเป็นตัวสำรองใน 45 นาทีหลังของเกมกับ เซเรโซ โอซาก้า ในศึกเลอแว็ง คัพ เขาก็แสดงฝีเท้าจนแฟนๆ ประทับใจด้วยการพาบอลทะลุทะลวงคู่ต่อสู้จนเกิดเป็นโอกาสดีๆ ให้กับทีมหลายครั้ง เพียงแต่ว่ากองหน้าของทีมจบสกอร์ไม่ได้เอง

และนั่นก็เพียงพอท่าจะทำให้โค้ชบรรจุเขาลงเป็นตัวจริง 11 คนแรกในแมตช์เจลีกที่ต้องต้อนรับการมาเยือนของทีมอูราวะ เรด ไดมอนด์ ทีมอันดับ 9 ของตารางเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา

63 นาทีที่เขาได้บรรเลงเพลงเตะในสนาม สร้างโอกาสให้กับทีมไม่น้อย และเขาก็มีโอกาสส่องไกยิงถึง 2 ครั้ง แต่ไปติดผู้เล่นทีมอูราวะเสียก่อน

ผลของการคว้าชัยเหนือคู่แข่งด้วยสกอร์ 2-0 ของคอนซาโดเล ซัปโปโร ทำให้อนาคตของเจ-ชนาธิป สดใสขึ้นมากทีเดียว

ทั้งประธานสโมสร โค้ช เพื่อนนักเตะ และแฟนบอลชาวญี่ปุ่น ต่างชื่นชมในฝีเท้าของเขาเป็นอย่างมาก

นี่ต่างหากที่เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีของเขา เป็นบทสรุปของการไม่ย่อท้อ อดทน มุมานะ ตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุดกับโอกาสที่ได้รับมา

สื่อมวลชนในญี่ปุ่นพากันวิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นของเจไปในทางที่ดี

“เขาวิ่งหาพื้นที่ได้ดี และแสดงให้เห็นถึงเทคนิคและความเร็วของเขา”

“เขาคือคนที่วิ่งเยอะที่สุดในสนาม และแฟนบอลญี่ปุ่นจะชื่นชอบนักเตะที่มีบุคลิกแบบเขา”

นักวิจารณ์บางคนถึงกับบอกว่า

“เขาสามารถเล่นในระดับที่สูงกว่านี้ได้ ไม่ใช่เฉพาะแค่เจลีกเท่านั้น”

อย่างไรก็ดี นี่เพิ่งผ่านแค่เกมแรกเท่านั้น เวลา 63 นาทีสำหรับชนาธิปอาจจะสร้างความประทับใจได้ดียิ่ง แต่สิ่งที่รออยู่คือเกมต่อๆ ไป ที่จะทำให้เขาได้แข็งแกร่งขึ้น ทำผลงานได้ดีขึ้น และพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือตัวจริงที่มีคุณค่าจากเมืองไทย

ขอบคุณเจที่สร้างความสุขให้กับแฟนบอลชาวไทย

ขอบคุณเจที่เป็นตัวอย่างที่ดีของการเอาจริงกับสิ่งที่ทำ ก้าวข้ามอุปสรรคทั้งปวงและมีทัศนคติที่ดีต่อการเล่นฟุตบอล

เราจะเป็นกำลังใจให้เขาต่อไป…เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ ผู้เล่นหมายเลข 18 แห่งสโมสรคอนซาโดเล ซัปโปโร คนนี้