คอฟฟี่เบรก/…ของขลังประจำตัว…

คอฟฟี่เบรก/ประภาส อิ่มอารมณ์

…ของขลังประจำตัว…

คนไทยนั้น เกิดมาก็เป็นพุทธตามบิดามารดาผู้ให้กำเนิดโดยสัญชาติ และได้รับการปลูกฝังให้เรียนรู้เรื่องศาสนาพุทธตั้งแต่เล็กๆ รู้จักการสวดมนต์ที่โรงเรียนภายหลังการเคารพธงชาติเป็นกิจวัตรทุกวันก่อนเข้าเรียน และกราบบูชาพระรัตนตรัยก่อนนอนทุกคืน

ขาดไม่ได้คือการที่ผู้ปกครองจะหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้คล้องคอ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่า สามารถคุ้มกันภัยให้ได้

สำหรับตัวเราเองนั้นก็ได้รับความห่วงอาทรที่คุณแม่จัดหามาให้ไว้ประจำตัวเช่นกัน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชิ้นแรกคือ…

เหรียญหลวงพ่ออี๋ พุทธสโร

หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร (1 ตุลาคม พ.ศ. 2408 – 20 กันยายน พ.ศ.2489

ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

ท่านเป็นที่พึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8 ของไทย อาจมีคนที่ยังไม่ลืมภาพอดีตนั้น ภาพของหลวงพ่ออี๋ที่ยกผ้าเหลืองโบกไปโบกมา พร้อมทั้งยืนบริกรรมพระคาถาอย่างสงบนิ่ง

ลูกระเบิดที่หย่อนมาจากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรหมายถล่มตลาดและฐานทัพเรือให้ราบเป็นจุณ กลับเบี่ยงเบนปลิวไปตกในทะเลจนหมดสิ้น ไม่อาจทำลายฐานทัพเรือและชีวิตของประชาชนชาวอำเภอสัตหีบได้

นับแต่นั้นมาหลวงพ่ออี๋จึงได้รับการกล่าวนามถึงในความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ช่วยรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัยกันถ้วนหน้า

ท่านเป็นอาจารย์ของพระเกจิอาจารย์ไทยชื่อดังมากมายเช่น หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ (อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารไร่)

หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านเป็นชาวจังหวัดชลบุรี ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.2408 ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ได้อยู่ศึกษาธรรมมะและเวทมนตร์ต่างๆ กับพระอาจารย์แดงถึง 6 พรรษา ก่อนไปฝากตัวเป็นศิษย์กับ หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ซึ่งช่วงนั้นมีชื่อเสียงมาก

และท่านยังได้ออกธุดงควัตรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย

เมื่อบังเกิดความกล้าแข็งทางจิต สัมฤทธิ์ในธรรมแล้ว จึงเดินทางกับมาสร้างวัดสัตหีบขึ้น ใช้เวลาเพียง 5 ปีจึงสมบูรณ์

ท่านได้ใช้วิชาอาคมอันแก่กล้ามาสร้างและปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ มาแจกกับศิษยานุศิษย์

จนถือว่าเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสและมีผู้ต้องการสะสมอย่างกว้างขวาง

เมื่อสักราวเจ็ดสิบกว่าปีที่แล้ว…

ตอนอายุสักสี่ขวบ ต้องระเหเร่ร่อนหนีภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จากกรุงเทพฯ ไปถึงจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของแม่ ดังนั้น การกลับไปขอความช่วยเหลือจากป้าที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่ จึงเป็นความหวังที่ถูกต้องและมีความเพียบพร้อมด้านความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย

แม้ป้ากับลุงจะมีบ้านอยู่ริมทะเลที่เกาะแสมสาร และทำการประมง ซึ่งออกไปกู้อวนที่โป๊ะของตนเองที่สร้างไว้กลางทะเลทุกวัน แต่ยังมีญาติพี่น้องว่านเครืออยู่ทั้งในตัวจังหวัดระยอง และอำเภอสัตหีบอีกมากมาย

ป้ามีลูกจำนวนแค่หกคน น้อยกว่าแม่ที่มีถึง 10 คน ซึ่งระยะของความเติบโตของพี่คนโตของเราจนมาถึงน้องคนสุดท้องที่ยังแบเบาะอยู่ ทำให้แม่ไม่มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดมานานมาก ญาติๆ จึงดีอกดีใจ ให้การต้อนรับและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ส่วนลูกคนอื่นๆ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงของป้า หรือตามศักดิ์เป็นพี่ๆ ของเรา จะดูแลเรื่องการค้าขาย เอาปลาที่กู้ได้จากโป๊ะไปส่งตลาดสด และขายของที่เกี่ยวข้องกับการทำประมงเล็กๆ น้อยๆ โดยมีร้านค้าอยู่ในตลาดสัตหีบ อันเป็นถิ่นที่ตั้งของวัดที่หลวงพ่ออี๋จำวัดอยู่

ดังนั้น ลูกๆ ของป้าทุกคนไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ต่างมีเหรียญหลวงพ่ออี๋ห้อยติดตัวเป็นสิริมงคลกันทุกคน เลยพลอยทำให้เราได้เหรียญหลวงพ่ออี๋เป็นพระห้อยคอองค์แรกไปกับเขาด้วย

เวลาจะอาบน้ำหรือนอนจะมีท่านคล้องคอด้วยสร้อยที่ทำจากด้ายดิบติดตัวอยู่เสมอ ส่วนน้องยังเล็กมากก็เลยไม่มีกับเขา

พอสงครามสงบและกลับมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ น้องซึ่งเกิดตอนแม่มีอายุมากจึงไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ แม่จึงขอเหรียญหลวงพ่ออี๋ไปให้น้องไว้คล้องคอแทน

ตั้งแต่นั้นมา คอจึงว่างเปล่าไม่มีของขลังเครื่องรางสักชิ้นมาประดับเพื่อคุ้มกันภัยอันตราย…

นอกจากมีอยู่ครั้งเดียวตอนเป็นวัยรุ่น ไปหาสร้อยเงินแล้วห้อยไม้กางเขนตามแฟชั่นที่กำลังคลั่งไคล้ เจมส์ ดีน มาใส่

สมัยนั้น เจมส์ ดีน เป็นนักแสดงเจ้าบทบาทกำลังฮิตในกลุ่มวัยรุ่น ด้วยทรงผมและใบหน้าอันหล่อเหลา จึงไม่แปลกที่ร้านตัดผมชายจะมีภาพของดาราคนนั้นติดล่อใจ เป็นสิ่งการันตีถึงการเข้าถึงกระแสของแฟชั่นที่กำลังคลั่งไคล้

เราก็เป็นลูกค้าร้านนั้นด้วยเหมือนกัน แม้จะเป็น “เจมส์ ดีน หน้าตี๋”…ก็ไม่เห็นเป็นไร

เพื่อจะให้ครบความเป็น เจมส์ ดีน แฟนคลับ เหล่าสาวกจะต้องไม่ขาดสร้อยคอเงินที่ห้อยประดับด้วยไม้กางเขนเล็กๆ แม้จะไม่ได้นับถือคริตส์ก็ตาม มีหรือที่เราจะไม่จัดไปให้ครบเครื่อง และ…มีผลภายหลังที่ทำให้ต้องตัดใจโยนมันทิ้งอย่างไม่ไยดี

เมื่อ…เพื่อนรักคนหนึ่ง มีปัญหาต้องย้ายบ้านไปอาศัยอยู่กับญาติคนหนึ่งแถวถนนพระอาทิตย์ ซึ่งอยู่ในบริเวณโรงเรียนสตรีเก่าแก่โรงเรียนหนึ่ง ชาวบ้านแถวนั้นรู้กิตติศัพท์ดีว่า “ผีดุ” แต่เพื่อนคนนั้นไม่ได้บอกให้รู้ เพราะถ้ากระโตกกระตากไปจนไก่ตื่น เขาจะขาดคนที่มาช่วยขนของไปอย่างแน่นอน

กว่าจะเสร็จภารกิจและช่วยกันจัดของให้เข้าที่ก็มืดค่ำลง ทั้งเหนื่อยและเมื่อยล้าจนไม่อยากทำอะไรต่อไป เพื่อนจึงชวนให้นอนค้างเพราะบ้านของเราไกลจากแถวนั้นมาก ก็ตกลงเห็นดีด้วย

คืนนั้นตอนดึก ขณะที่ทั้งกำลังหลับในมุ้งอย่างสบาย…เราก็ต้องสะดุ้งผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อแตกพลั่ก พร้อมเขย่าเพื่อนให้ตื่น และเล่าให้ฟังว่า เมื่อกี้มุ้งถูกเปิดขึ้น แล้วมีผู้หญิงแก่ผอมเกร็ง ผมยุ่งกระเซิงโผล่เข้ามา…

โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง นางหรือผีตนนั้น ก็ตรงขึ้นมานั่งบนอกแล้วเอามือบีบคอจนหายใจไม่ออก เสียงแหบแห้งของนางพูดอย่างไม่พอใจว่า

“ใครใช้ให้มึงห้อยไม้กางเขนเข้ามาในบ้านกู”

จึงดิ้นรนและสวดมนต์เท่าที่จะนึกได้ จนนางหายไป เพื่อนก็ปลอบว่าเราคงเหนื่อยและฝันร้ายไป แต่ก็อดเสียวสันหลังไม่ได้เหมือนกัน เนื่องจากรู้ดีว่าที่นี่ …เจ้าที่เจ้าทางเขาแรงตามคำเล่าลือ

สุดท้ายก็รีบแต่งเนื้อแต่งตัวกลับบ้านด่วนในคืนนั้นเลย และยอมตกเทรนด์ไม่ห้อยไม้กางเขนนั้นอีกต่อไป ไม่ว่า เจมส์ ดีน จะเข้ามาฉายเป็นที่ฮือฮา…อีกสักกี่เรื่องก็ตาม

ของขลังประจำกาย “เหรียญหลวงพ่ออี๋” ที่แม่ได้ผ่องถ่ายให้น้องชายเอาไปครองต่อ …และเมื่อพ้นจากตัวแล้วก็ไม่มีข้อมูลว่า น้องชายเก็บรักษาท่านไว้อย่างไร รู้แต่ว่าตัวเขาเองก็นึกไม่ออกว่า อันตรธานไปทางไหน และนั่งเสียดายเหรียญนั้นเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันเขาได้กลายเป็นนักสะสมพระเครื่องตัวยงคนหนึ่งเหมือนกัน