ทาง 3 แพร่ง 3 พรรค ของ ‘บิ๊กตู่’ เดิมพัน 3 ป. จับตา ‘พีระพันธ์’ รีเทิร์น กับกลเกม ‘บิ๊กป้อม’ และแค้นของ ‘ธรรมนัส’ ในศึกสายเลือดทหาร/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

ทาง 3 แพร่ง 3 พรรค

ของ ‘บิ๊กตู่’

เดิมพัน 3 ป.

จับตา ‘พีระพันธ์’ รีเทิร์น

กับกลเกม ‘บิ๊กป้อม’

และแค้นของ ‘ธรรมนัส’

ในศึกสายเลือดทหาร

 

พร้อมๆ กับดวงไฟที่ฉายส่องมาที่บิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา น้องรัก ที่อาจจะมาเป็นทายาททางการเมืองของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และพี่ใหญ่ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

ตัวละครตัวอื่นๆ ก็เริ่มปรากฏ ราวกับจะมาเป็นตัวเลือกให้พี่น้อง 3 ป.ส่งเข้าประกวด

เช่น นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ที่จะตั้งมาช่วยงานพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นสายของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม

เพราะส่งเสธ.อ้น พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา ส.ว.สายทหารเสือราชินี น้องรักบิ๊กตู่ ไปประสานกับ พล.อ.ประวิตรในเรื่องพรรคพลังประชารัฐเช่นแต่ก่อนไม่ได้แล้ว

ด้วยเพราะ พล.อ.กนิษฐ์ถูกมองเป็นแม่ทัพคนสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ให้หาข้อมูลหลักฐานว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการ พปชร. อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติเงียบ ล้มนายกฯ กลางสภา จนทำให้เกิดการปลดฟ้าผ่า ร.อ.ธรรมนัส

แถมทั้งเคยมีเรื่องคาใจกับ พล.อ.ประวิตร ในเรื่องการให้ไปเจรจาดูด ส.ส.ในภาคอีสานเข้าพรรค พปชร. แต่ทำไม่ได้ตามเป้า

อีกทั้งคราวนี้กลับมีข้อมูลที่พาดพิง”พล.ต.อ.” นอกราชการ ใกล้ตัว พล.อ.ประวิตร ว่าร่วมขบวนการกับ ร.อ.ธรรมนัสด้วย เนื่องจาก พล.ต.อ.คนนี้เคยมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยิ่งทำให้ พล.อ.ประวิตรเดือด เพราะรู้กันดีว่าเป็นคนรักน้องอย่างมาก

โดยฝ่าย พล.อ.ประวิตรมองว่า นี่เป็นการกล่าวหาใส่ความจากฝ่ายกองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ดึงเอา “พล.ต.อ.” ไปร่วมขบวนการสามเส้า ล้มบิ๊กตู่ที่นอกสภา ให้ “เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” นำม็อบต่อสู้บนท้องถนน และให้อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย “ว.” เดินเกมหาโหวต ส.ส. และ พล.ต.อ.คนนี้เดินเกมหาโหวตในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล

ไม่ใช่แค่ป้ายสีน้องเลิฟมือขวาอย่าง ร.อ.ธรรมนัสเท่านั้น แต่น้องรักโดยสายเลือดก็ยังโดนด้วย จึงทำให้คราวนี้รอยร้าวในใจพี่ใหญ่ยากจะประสาน

เพราะในยามนี้ ระหว่าง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดความหวาดระแวงในใจกันไปเสียแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประวิตรยังคงให้ ร.อ.ธรรมนัสและนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อยู่พรรค พปชร.ต่อในตำแหน่งเดิม ทั้งๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ปลดออกจาก ครม.แล้ว

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์รู้ดีว่า พล.อ.ประวิตรยังเคารพและไม่เคยลืมบุญคุณคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่เคยสนับสนุนให้เป็น ผบ.ทบ.

พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องหาคนมาเป็นหูเป็นตาในพรรคพลังประชารัฐแทน พล.อ.กนิษฐ์

นี่จึงทำให้ชื่อของนายพีระพันธ์จึงถูกปัดฝุ่นขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ นายพีระพันธ์เคยถูกจับตาตั้งแต่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ให้ พล.อ.ประยุทธ์

เพราะมีข่าวแพร่สะพัดในเวลานั้นว่า คนที่ชักนำนายพีระพันธ์เข้าสู่ทำเนียบฯ เข้ามาใกล้บิ๊กตู่ ก็คือบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่ตอนนั้นเป็น ผบ.ทบ. และรู้กันดีว่าเป็นสายตรง พล.อ.ประยุทธ์

ด้วยเพราะเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล สนิทสนมกันมานาน เพราะเป็นลูกทหารด้วยกัน

จนทำให้นายพีระพันธ์ถูกจับตามองว่าจะมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในอนาคต และย่อมหมายถึง อาจจะได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ด้วย

หรือแม้แต่การกรุยทางในพรรค พปชร.รอวัน หาก พล.อ.อภิรัชต์จะกลับสู่การเมือง และถูกจับตามองมานานแล้วว่า จะเป็นทายาททางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์

แม้จะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.แล้ว และไปเป็นรองราชเลขาธิการฯ แล้ว แต่ พล.อ.อภิรัชต์ยังคอยช่วย พล.อ.ประยุทธ์อย่างใกล้ชิด เพราะยังคงติดต่อพูดคุยอยู่เนืองๆ และพบปะกินข้าวกับ พล.อ.ประยุทธ์เดือนละครั้ง

ในยามที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีใคร และต้องการความช่วยเหลือ ก็มักจะนึกถึง พล.อ.อภิรัชต์

จนทำให้เกิดกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังต้องการให้ พล.อ.อภิรัชต์มาเป็นทายาททางการเมือง มาเป็นนายกฯ แทนตนเอง

 

แต่ติดอยู่ที่ พล.อ.อภิรัชต์ยังถูกเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปีหลังจากพ้นจากการเป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง

ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ต้องการจะวางมือไม่เป็นนายกฯ ต่อ เพราะปัญหาทางใจกับ พล.อ.ประวิตรและพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งหากศาลรัฐธรรมนูญเจอแรงกดดันตีความเรื่องนายกฯ 8 ปี

พล.อ.ประยุทธ์ก็จะต้องยื้ออายุรัฐบาลให้นานที่สุดถึงปลายปี หรือหากจะยุบสภา ก็ต้องคำนวณเวลาให้จัดการเลือกตั้งแล้ว จัดตั้งรัฐบาล จะพอดีกับเดือนกันยายน-ตุลาคม เพื่อให้ พล.อ.อภิรัชต์ครบเว้นวรรคการเมือง 2 ปี และเป็นนายกฯ ได้

แต่มีข่าวว่า บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ส่งตัวแทนยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความประเด็นการเว้นวรรคทางการเมืองของ ส.ว.โดยตำแหน่ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าจะดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ได้ แม้จะถูกเรียกว่าเป็นการเมืองระดับท้องถิ่นประเภทหนึ่งก็ตาม

แต่กล่าวกันว่า ประเด็นนี้จะส่งผลครอบคลุมถึง ผบ.เหล่าทัพที่เคยเป็น ส.ว.มาด้วยว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะตีความยกเว้นให้หรือไม่ เพราะเป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง และพ้นไปเมื่อเกษียณราชการ หรือพ้นจาก ผบ.เหล่าทัพ

นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดกระแสข่าวการเตรียมรีเทิร์นสู่สนามการเมืองของ พล.อ.อภิรัชต์

แต่ พล.อ.อภิรัชต์จะกลับมาแบบไหน อย่างไร เพราะตำแหน่งหน้าที่ปัจจุบันจะออกมาได้หรือไม่ อย่างไร

พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องเตรียมการทางอื่นรองรับไว้ หากว่า พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ยึดพรรค พปชร. และมี ร.อ.ธรรมนัสเคียงข้างแบบนี้ แผนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคเอง จึงไม่ง่าย

จึงทำให้พรรคเศรษฐกิจไทย ที่ปลัดฉิ่ง ฉัตรชัย พรหมเลิศ เตรียมการเอาไว้ตอนเป็นปลัดมหาดไทย และกำลังจะตั้งชื่อใหม่ และถูกมองว่ามีบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พี่รองใน 3 ป. อยู่เบื้องหลัง จัดตั้งพรรคไว้เพื่อเป็นพรรคอะไหล่ หากพรรคพลังประชารัฐเกิดปัญหา ถูกมองเป็นทางเลือก

หรือแม้แต่พรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ของแรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ ผช.รมต.ประจำนายกฯ องครักษ์พิทักษ์บิ๊กตู่ ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว โดยนำนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งเป็นชื่อพรรค ก็เป็นอีกทางเลือก

หากปัญหาคาใจระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้รับการเยียวยารักษา ถึงขั้นต้องแยกพรรคกันอยู่ ก็ทำให้เรื่องแก้รัฐธรรมนูญใช้บัตร 2 ใบจะไม่เป็นผลดีต่อพรรคเล็ก และเป็นพรรคใหม่ จึงมีกองเชียร์ยื่นตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ บัตร 2 ใบ ในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์เตรียมการนำขึ้นทูลเกล้าฯ

เพราะไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไปไหน ทำอะไร ก็จะมี พล.อ.อนุพงษ์เคียงข้างเสมอ จนทำให้แผงอำนาจ 3 ป.ถูกแบ่งข้างเป็น ป.ประยุทธ์ กับ ป.ป๊อก ส่วน ป.ป้อม ประวิตร ยึดพรรคพลังประชารัฐ อยู่กับ ร.อ.ธรรมนัสและนฤมล สร้างอาณาจักรของพี่ใหญ่

แม้จะรักใคร่เป็นพี่น้องกันมายาวนานกว่า 40 ปี แต่ก็หมางใจกันได้ โดยเฉพาะเรื่องศักดิ์ศรีของพี่ใหญ่ที่ถูกหักหน้าและหักหลัง

ครั้งนี้จะเห็นถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปของ พล.อ.อนุพงษ์ที่จะแยกตัวเองออกจากการจับคู่ขัดแย้งของบิ๊กป้อม บิ๊กตู่ แต่เป็นที่รู้กันว่า พล.อ.ประยุทธ์ปรึกษาหารือ พล.อ.อนุพงษ์ตลอดเสมอ นี่คือความเป็นสายบุ๋นของบิ๊กป๊อก

และการเดินเกมของ พล.อ.ประยุทธ์นับจากนี้ ก็จะมี พล.อ.อนุพงษ์เป็นฝ่ายบุ๋น เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์เพียงลำพังคงสู้พี่ใหญ่ไม่ได้ แถมมี ร.อ.ธรรมนัสเป็นมือทำงานสำคัญ และมีความแค้นแน่นอก

แต่นั่นย่อมหมายถึงพี่น้อง 2 ป.ตัดสินใจแยกทางเดินกับพี่ใหญ่ ไปอยู่พรรคใหม่ที่มีนายฉัตรชัยที่เดินเกมการเมือง เจรจาดึง ส.ส.มาได้จำนวนหนึ่งแล้ว และถึงเวลาอาจต้องให้ ส.ส.พปชร.เลือกข้าง

ซึ่งถ้าเลือกแบบนั้น ก็ถือว่าทางใครทางมัน เป็นการแตกหักกับ พล.อ.ประวิตร

ปลัดฉิ่ง ฉัตรชัย พรหมเลิศ

แต่บรรดานายทหารในขั้ว 3 ป.ยังมองบวกว่า ท้ายที่สุดก็จะเคลียร์ใจกันได้ เพราะรู้ดีว่า ถ้าแตกกัน คือจุดจบ 3 ป.ร่วมกันในไม่ช้า

จะเห็นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็พยายามง้อ พล.อ.ประวิตร ทั้งการเข้าไปพบปะพูดคุย กินข้าว สูบไปป์ด้วยกันบ่อยขึ้น ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ จากที่แต่ก่อนใช้แค่โทร.คุยกัน ไลน์หากัน ไม่ค่อยมาหาพี่ใหญ่ จะมาแค่วันเกิด ปีใหม่ และสงกรานต์เท่านั้น

รวมทั้งการยอมออกคำสั่งให้ พล.อ.ประวิตรมาคุมงาน 4 กรมของกระทรวงเกษตรฯ ที่ ร.อ.ธรรมนัสเคยรับผิดชอบตอนเป็น รมช.เกษตรฯ จากเดิมที่นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแล

ที่ถูกมองว่า ร.อ.ธรรมนัสก็จะเป็นเสมือน รมช.เกษตรฯ เงาอยู่ดี เพราะ พล.อ.ประวิตรก็คงมอบให้ ร.อ.ธรรมนัสดูแลต่อ

นี่เองจึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมเซ็นคำสั่งในตอนแรก เพราะแม้จะมีวาระนี้เข้า ครม.ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่ก็กลับไม่มีการพิจารณา จนเลื่อนมาการประชุม ครม.เมื่อ 28 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา

การยอมง้อพี่ใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังรวมถึงกระแสข่าวที่ว่า จะยอมให้ พล.อ.ประวิตรเป็น มท.1 แทน พล.อ.อนุพงษ์เลยทีเดียว เพื่อเตรียมสู้เลือกตั้ง เพราะรู้ดีว่า นอกจาก รมว.กลาโหมแล้ว พี่ใหญ่ก็อยากเป็น รมว.มหาดไทย แต่ทว่าเกรงใจ พล.อ.อนุพงษ์

แต่มาคราวนี้ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.อนุพงษ์ ทำให้พี่ใหญ่เคืองหนัก จึงต้องง้อใหญ่

กระแสข่าวนี้เกิดขึ้นจากในพรรคพลังประชารัฐมาเป็นระยะๆ อยู่แล้ว เพราะบรรดา ส.ส.ไม่แฮปปี้ที่ พล.อ.อนุพงษ์เว้นระยะห่างกับ ส.ส. และไม่สนับสนุน ส.ส.ของพรรค ยิ่งจะมีเลือกตั้งในปีหน้า

นี่จึงทำให้ ร.อ.ธรรมนัสต้องบอก พล.อ.ประวิตรให้เจรจากับ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ไม่เป็นผล จนลุกลามกลายเป็นการเสนอขอโควต้า มท.1 คืนมาเป็นโควต้าของพรรค พปชร. และนำมาซึ่งความขัดแย้ง จนเกือบจะปฏิวัติเงียบล้มนายกฯ กลางสภา

หาก พล.อ.อนุพงษ์ยอมให้เอาเก้าอี้ มท.1 เพื่อง้อพี่ใหญ่ จึงมีข่าวว่า จะส่งนายฉัตรชัยมาเป็น รมช.มหาดไทย เป็นหูเป็นตาแทน เพราะรู้ดีว่า ร.อ.ธรรมนัสคงจะมามีบทบาทเสมือน มท.1 เงา เบื้องหลัง พล.อ.ประวิตรเลยทีเดียว

แต่เป้าหมายร่วมของ 3 ป. คือการชนะเลือกตั้งครั้งหน้า และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น พล.อ.ประวิตรก็จำเป็นต้องใช้งาน ร.อ.ธรรมนัส

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวให้ ร.อ.ธรรมนัสหวั่นไหวว่า เมื่อชนะเลือกตั้งแล้ว พล.อ.ประวิตรก็จะไม่เอา ร.อ.ธรรมนัสอีกแล้ว เพราะถึงอย่างไร สายสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป.ย่อมเหนียวแน่นกว่า ร.อ.ธรรมนัส ประมาณว่า เลือดย่อมข้นกว้าน้ำ

แต่ประวัติศาสตร์การเมือง การทหาร ที่เกิดความวุ่นวายมาตลอด ก็เพราะศึกสายเลือดทหาร สายเลือด จปร.นี่แหละ โดยเฉพาะเพื่อน พี่น้องที่รักกันมาก มองตารู้ใจกัน เมื่อแตกกัน ก็ล้างแค้นกันแรง

แม้แต่ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี กับ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร และนายทหาร จปร.7 ที่แม้เคยอยู่ใกล้ชิดป๋า แต่ที่สุด อำนาจก็ทำให้แตกและห้ำหั่นกันอย่างถึงที่สุด

หรือบิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กับบิ๊กสุ พล.อ.สุจินดา คราประยูร แห่งตำนานพี่จิ๋ว-น้องสุ ที่มองตารู้ใจ ถึงขนาดมองหัวแม่เท้าก็รู้ใจ แต่เมื่อขัดแย้งแย่งอำนาจ ก็เล่นกันแรงจน พล.อ.สุจินดาต้องจบลงด้วยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาแล้ว

อีกทั้งประเด็นการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ครบ 8 ปี ตาม ม.158 รัฐธรรมนูญ แล้วหรือไม่นั้น ก็มีข่าวว่า พล.อ.ประวิตรก็สนับสนุนให้ตีความ และเตรียมหานายกฯ คนใหม่ในสมัยหน้า

รวมทั้งสายสัมพันธ์ของ พล.อ.ประวิตรกับบ้านจันทร์ส่องหล้า และ ร.อ.ธรรมนัสกับนายทักษิณ และแกนนำพรรคเพื่อไทย และข้อตกลงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญใช้บัตร 2 ใบ และดีลระหว่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เคลือบแคลงใจว่า พี่ใหญ่ไม่เหมือนเดิม

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังเชื่อว่า ความเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัสในการโหวตล้มนายกฯ กลางสภาครั้งที่ผ่านมา เกิดขึ้นโดยที่ พล.อ.ประวิตรไม่รู้เห็น เป็นไปไม่ได้

อีกทั้งหลังการปลด ร.อ.ธรรมนัสและนฤมล ลูกเลิฟ พล.อ.ประวิตร ยังคงบ่นถึงบุญคุณที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์มีวันนี้ ให้เข้าหูนายกฯ

กระแสข่าวเหล่านี้จึงยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์หวาดระแวงพี่ใหญ่ จนอาจจะต้องหันไปหารือกับพี่รองในการเดินเกม

ในห้วงเวลานี้จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ จะเลือกแตกหัก แยกทางเดินกับ พล.อ.ประวิตร ที่มี ร.อ.ธรรมนัสเคียงข้าง

หรือว่าจะยอมรักษา 3 ป.ในตำนานเอาไว้ เพราะหากต่างคนต่างอยู่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นนายกฯ ต่ออีกสมัย ส่วนเรื่องพรรคก็ปล่อย พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัสจัดการไป

แต่ในความเป็นจริง มันมีเรื่องศักดิ์ศรีด้วย เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์จะได้เป็นนายกฯ ต่ออีกสมัยหรือไม่นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส หรือชัยชนะที่ พปชร.ได้มาเพราะ ร.อ.ธรรมนัสแล้ว เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็คงไม่อยากที่จะเป็นนายกฯ ใต้เงาบุญคุณ ร.อ.ธรรมนัส

และแน่นอนว่า ร.อ.ธรรมนัสที่ยอมกลับคำอยู่ พปชร.ต่อ และจะยอมเหนื่อยสู้เลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ใช่เพื่อ พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน

เพราะการถูกปลดฟ้าผ่าครั้งนั้น เป็นการเตะตัดขา ร.อ.ธรรมนัสที่กำลังรุ่ง เปี่ยมอำนาจ บารมีทางการเมือง ในนามมือขวาบิ๊กป้อม แถมเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ทำให้เสียฟอร์ม เสียหน้า จนต้องหลบหน้าผู้คนไปทำใจอยู่หลายวัน

อีกทั้งกองทัพก็ยังแสดงทีท่าชัดเจน กีดกันไม่ให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นโรงเรียนเตรียมทหาร สกัดไม่ให้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ตั้งแต่ต้นปี 2564 แล้ว

แม้ว่าจะได้รับการคัดเลือกและผ่านการลงมติของคณะกรรมการให้ได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว โดยตำแหน่ง ในฐานะที่ประสบความสำเร็จและได้เป็น รมช.เกษตรฯ พร้อม 5 ผบ.เหล่าทัพ และบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการ สมช.

แต่บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ (ตท.21) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร ก็หาทางออกด้วยการประกาศไม่รับรางวัลในปี 2564 แต่ขอทำงานให้ผลงานเป็นที่ประจักษ์ก่อน

ส่งผลให้ทั้งบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ (ตท.22) ผบ.ทบ. บิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน (ตท.20) ผบ.ทร. บิ๊กแอร์ พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ (ตท.21) ผบ.ทอ. บิ๊กปั้ด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข (ตท.20) ผบ.ตร. และบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ (ตท.20) ต้องขอไม่รับรางวัลไปด้วย รวมถึง ร.อ.ธรรมนัส (ตท.25) ก็ไม่อาจที่จะรับรางวัลได้

ทั้งๆ ที่ พล.ร.อ.ชาติชาย พล.อ.อ.แอร์บูล และ พล.อ.ณัฐพล เกษียณ 30 กันยายน 2564 ถ้าไม่รับรางวัลก็จะหมดโอกาสแล้วเพราะเกษียณ

แต่ พล.อ.เฉลิมพล และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ยังมีอายุราชการถึง 2566 ก็สามารถไปรับในปีต่อไปได้

ในเมื่อ พล.อ.เฉลิมพลตัดสินใจเช่นนั้น และผู้บัญชาการเหล่าทัพก็รู้เป้าหมายว่าต้องการจะสกัด ร.อ.ธรรมนัส เพราะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องคุณสมบัติ เรื่องประวัติ ที่เคยต้องคดียาเสพติดของศาลออสเตรเลีย จึงไม่ต้องการให้ได้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นโรงเรียนเตรียมทหารรับรางวัลเกียรติยศจักรดาว

อีกทั้งต่อมาคณะกรรมการมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร นำโดย พล.อ.เฉลิมพลก็มีมติแก้ไขระเบียบในการมอบรางวัลเกียรติยศจักรดาว โดยจะยกเว้นไม่มอบให้กับศิษย์เก่าที่เป็นนักการเมืองหรือรับตำแหน่งในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ หรือ รมต.ก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนเช่นกรณี ร.อ.ธรรมนัส และนายทักษิณ ชินวัตร (ตท.10) ที่เมื่อถูกถอดยศและถูกริบคืนรางวัลเกียรติยศจักรดาว ถอดชื่อออกจากการเป็นศิษย์เก่าดีเด่นโรงเรียนเตรียมทหารด้วย จึงทำให้ ร.อ.ธรรมนัสขาดคุณสมบัติที่จะได้รับรางวัลอีกต่อไป

การตัดสินใจเช่นนี้ของนายทหารรุ่นพี่ๆ ย่อมตัองถูก ร.อ.ธรรมนัสเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งเป็น รมว.กลาโหม ต้องรับทราบก่อน จึงไม่แปลกที่ความแค้นจะจุกอก ร.อ.ธรรมนัส ที่เคยประกาศไว้ว่า “ผมเป็นคนที่จำนาน และจำดี”

 

จึงไม่แปลกหาก ร.อ.ธรรมนัสไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกต่อไป และเชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรก็คิดเช่นนั้น จึงได้มองหานายกฯ สำรองมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อรู้ว่าคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ลดวูบน้อยลงจากการอยู่นาน และการแก้ไขปัญหาโควิดที่ล้มเหลว

เคยมีข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัสอยากที่จะหนุนให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ เอง เพราะเป็นหัวหน้าพรรค พปชร.อยู่แล้ว แต่ พล.อ.ประวิตรยืนยันที่จะไม่คืนคำ เพราะเคยลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะไม่เป็นนายกฯ

แต่ พล.อ.ประวิตรมองหาและเตรียมนายกฯ คนใหม่ไว้แล้ว ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะวางมือหรือไม่ เพราะในการเลือกตั้งครั้งหน้า พปชร.จะไม่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แค่คนเดียว แต่จะเสนอ 3 คน

คนหนึ่ง คาดกันว่าจะเป็น พล.อ.วิชญ์ ที่ พล.อ.ประวิตรดึงมาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค และเป็นสมาชิกพรรคมานาน 2 ปีพร้อม พล.อ.ประวิตร แถมเป็นราชนิกุล โปรไฟล์ก็ใช้ได้ แม้จะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. แต่มีความสุขุม รอบคอบ ฉลาด และเป็นน้องรักที่ไม่มีวันหักหลังพี่ใหญ่

แถมทั้ง ร.อ.ธรรมนัสก็สนับสนุน พล.อ.วิชญ์เต็มที่ เพราะสนิทสนมรักใครกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยเสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ผู้กว้างขวาง เพื่อนรัก พล.อ.วิชญ์ และนายผู้มีพระคุณของ ร.อ.ธรรมนัส

ส่วนอีกคน เป็นพลเรือนที่ พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัสช่วยกันมองหาคัดเลือกมา แต่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่าเป็นใคร

แต่ต้องไม่ลืมว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่เลือกแยกทางเดิน ไม่แตกหัก ยังรักษาแผงอำนาจ 3 ป.ต่อไป ก็ย่อมต้องมีส่วนร่วมในการเลือกแคนดิเดตนายกฯ ด้วย

ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ขอพัก ไม่ไปต่อ ก็จะต้องเจรจากับ พล.อ.ประวิตรในการให้เสนอชื่อ พล.อ.อภิรัชต์ หรือนายพีระพันธ์ ให้อยู่ในลิสต์นายกฯ ของพรรค พปชร.ด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน

เพราะท้ายที่สุด ยังมี 250 ส.ว.ที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งไว้ตอนเป็นหัวหน้า คสช. คอยโหวตเลือกนายกฯ ได้อีกครั้ง ตามบทเฉพาะกาล 5 ปี ตอนนั้น ค่อยมาวัดพลังกันอีกที เพราะ ส.ว.แบ่งเป็น 3 สาย ของ 3 ป.

ซึ่งหาก พล.อ.อภิรัชต์สามารถลาออกมาลงสนามการเมืองได้จริง ก็ย่อมหมายความว่า ทุกอย่างต้องเปิดทาง เคลียร์ทางให้สำหรับเป็นนายกฯ

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ พล.อ.ประวิตรจะเห็นด้วยหรือไม่ และในเวลานั้น คุณสมบัติของ พล.อ.อภิรัชต์จะครบหรือไม่ ระยะเวลาอีก 1 ปีที่เหลือ คงจะมีความชัดเจนขึ้น

 

สถานการณ์การเมืองเปลี่ยน และพี่น้อง 3 ป.ก็ไม่เหมือนเดิม แผนการสืบทอดอำนาจ การวางทายาท ก็ต้องปรับเปลี่ยน

พล.อ.วิชญ์จึงเป็นตัวละครที่กำลังถูกจับตา โดยเฉพาะเมื่อเผยว่า พล.อ.ประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สั่งการให้ทำภารกิจ “ปรองดอง” ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ และนอกพรรค ในแวดวงการเมือง และสร้างความปรองดองในประเทศ

ที่ดูจะเป็นเป้าหมายที่ทำให้เชื่อมโยงไปถึงดีลระหว่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย

เป้าหมายหนึ่งของ พล.อ.ประวิตร คือการดึง ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยมาอยู่พรรคพลังประชารัฐให้ได้มากที่สุดโดยมี ร.อ.ธรรมนัสเป็นฟันเฟืองสำคัญในการทำให้ฝันเป็นจริง

หรือการร่วมมือทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย ผ่านดีลกับบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อนำมาซึ่งความสงบสุขในทางการเมือง ไม่เช่นนั้นก็จะต่อสู้และบ้านเมืองก็จะวุ่นวายต่อไปเช่นนี้ไม่มีจบสิ้น

แต่มีเป้าหมายว่า จะทำให้พรรคเพื่อไทยมีแต่คนที่รักและเทิดทูน ปกป้องสถาบันเท่านั้น เพราะจุดยืนของ พล.อ.ประวิตรคือความจงรักภักดีและปกป้องสถาบัน

ทั้ง 3 ป.จึงกำลังเดินมาถึงทางสามแพร่ง ทางแยก ที่ต้องตัดสินใจเลือกแล้วว่า จะเดินต่อไปด้วยกัน หรือว่าจะแยกกันเดิน โดยมีอำนาจเป็นเดิมพัน