ความตายอันแสนสุข และความเป็นอันแสนเศร้า : อนุสรณ์ ติปยานนท์

“ผมฝันถึงวงดนตรีเดอะบีตเทิลส์เมื่อคืนก่อน และตื่นขึ้นเมื่อ ร็อกกี้ แร็กคูน มาเล่นอยู่แถวหัวของผม ผมตื่นขึ้นพร้อมกับสีหน้าย่ำแย่ของภรรยา เธอบอกผมว่าเพื่อนรักของผมได้จากไปแล้ว ภาพความทรงจำของคุณเริ่มผุดขึ้นในความคำนึงของผมและแล้วผมก็เริ่มร่ำไห้ แม้กระทั่ง ณ บัดนี้ ผมก็ร่ำไห้ถึงคุณด้วยความเศร้า ผมนึกถึงความทรงจำดีๆ ในหลายคราที่ผมมีกับคุณและครอบครัวของคุณ คุณเป็นแรงบันดาลใจไม่รู้จบของผมโดยที่คุณอาจไม่ล่วงรู้มาก่อน ความสามารถของคุณนั้นเป็นเลิศและไม่มีใครทัดเทียมได้ เสียงร้องของคุณพร้อมครบทั้งความสุขและความเศร้า ทั้งความเกลียดชังและการให้อภัย ทั้งความรักและความผิดหวังหลอมรวมอยู่ในเสียงขับร้องของคุณ นั่นคือสิ่งที่พวกเรารับรู้ได้ คุณทำให้ผมประจักษ์เช่นนั้น

I just watched a video of you singing “A Day In The Life” by the Beatles and thought of my dream. I”d like to think you were saying goodbye in your own way. I can”t imagine a world without you in it. I pray you find peace in the next life. I send my love to your wife and children, friends and family”

จดหมายจาก เชสเตอร์ เบนนิงตัน ถึง คริส คอร์เนลส์

ประสบการณ์แรกของผมเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในวัยเยาว์ อาจเป็นแปดหรือเก้าขวบผมจำช่วงอายุที่แม่นยำเช่นนั้นไม่ได้ ทว่า กลับจดจำเหตุการณ์ที่ว่าได้ไม่ลืมเลือน

เสียงกรีดร้องจากน้องสาวของผมในเช้าวันหนึ่งที่บ้านของตนเองยังคงก้องอยู่ทุกครั้งเมื่อหวนระลึกถึงมัน

บ้านเกิดของผมนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดใหญ่ที่มีอาณาบริเวณ ชั้นบนของบ้านถูกแบ่งออกเป็นห้องอย่างน้อยสามห้องโดยมีโถงทางเดินตรงกลาง

ห้องใหญ่สุดนั้นเป็นห้องที่เราใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งการชมรายการโทรทัศน์ นั่งสนทนา หรือแม้แต่การใช้มันทำการบ้านหรืออ่านหนังสือเรียนในยามค่ำคืน

ห้องที่มีขนาดใหญ่รองลงมาเป็นห้องพักของผมกับน้องสาวและย่าและยังเป็นห้องพระในตัวด้วยที่มุมหนึ่ง

ส่วนห้องที่มีขนาดเล็กที่สุดนั้นเป็นห้องว่างที่มีไว้สำหรับแขกผู้มาเยือน ในห้องห้องนั้นนอกจากเตียงนอนแล้วไม่มีเครื่องประดับประดาใดเลย

แขกของเราในฤดูร้อนนั้นปีนั้นเป็นหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง อันที่จริงแล้วผมจะเรียก-พี่ต้อย-ว่าแขกคงไม่ถูกนัก เพราะหลังจากที่พี่ต้อยมาพำนักที่นั่น พี่ต้อยก็ไม่ได้จากไปไหนเลย

ในตอนแรกผมคิดว่าพี่ต้อยคงพักอยู่ที่นั่นวันหรือสองวัน แต่หลังหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เมื่อการเปิดภาคการศึกษาใหม่ของโรงเรียนมาถึง พี่ต้อยก็เปลี่ยนชุดเป็นนักเรียนมัธยมต้นปีสุดท้ายหรือ ม.ศ.สาม พร้อมกับคำบอกเล่าของย่าว่าพี่ต้อยจะมาอยู่กับเราจนกว่าจะจบการศึกษาที่โรงเรียนวัดใกล้บ้าน

ปู่เป็นคนรับพี่ต้อยที่เป็นหลานของเพื่อนคนหนึ่งมาดูแล

พ่อของพี่ต้อยนั้นหาชีวิตไม่แล้ว เหลือเพียงแต่แม่ที่ทำมาค้าขายอยู่ต่างจังหวัดและไม่มีเวลากวดขันพี่ต้อยนัก

ดังนั้น การฝากฝังพี่ต้อยให้ปู่ของผมที่เกษียณราชการช่วยดูแลจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า

และดูเหมือนพี่ต้อยเองก็พึงใจเช่นนั้น

การได้เปลี่ยนสถานที่จากที่ที่คุ้นเคยมาเป็นสถานที่ที่แปลกใหม่น่าจะทำให้พี่ต้อยจบการศึกษาในปีนั้นได้ไม่ยากเย็น “พี่เบื่อมัธยมปีสุดท้ายนี่เต็มทีแล้ว เรียนซ้ำชั้นมาครั้งหนึ่งจนแค่คิดว่าจะต้องเจออะไรเหมือนเดิมก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว”

พี่ต้อยพูดกับผมในขณะที่เราเดินไปโรงเรียนพร้อมกันในยามเช้า

โรงเรียนของผมนั้นอยู่เลยโรงเรียนของพี่ต้อยไป ดังนั้น ผมจึงเห็นพี่ต้อยไปถึงโรงเรียนก่อนผม

พี่ต้อยดูจะผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ที่โรงเรียนได้เร็วเพราะระหว่างทางของการเดินเท้าไปโรงเรียนนั้น ผมพบเห็นพี่ต้อยทักทายเพื่อนคนอื่นเป็นระยะ

นี่อาจเป็นภาพที่จดจำได้ไม่กี่ภาพของพี่ต้อย นักเรียนหญิงในชุดคอซองเย้าแหย่กับเพื่อนฝูงระหว่างทาง

พี่ต้อยอาจดูเหงาที่ต้องจากบ้านมาไกลแต่ก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรนัก

ว่าไปแล้วชีวิตนักเรียนที่แม้จะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นในยุคนั้นก็ไม่มีอะไรทุกข์ร้อนมากนัก งานการมีให้ทำมหาศาล ไม่ต้องห่วงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงจนเกินไป

หากคนที่จบเพียงชั้นประถมสี่ยังไม่อดตาย คนที่จะจบการศึกษามัธยมต้นอย่างพี่ต้อยยิ่งไม่ควรมีความกังวลเลย

แต่เมื่อเริ่มการศึกษาภาคปลาย พี่ต้อยก็เปลี่ยนไป จากคนที่เคยยิ้มแย้ม รอยยิ้มของพี่ต้อยหายไปจากใบหน้าทีละน้อย วันต่อวัน ในวงข้าวคืนหนึ่งผมได้ยินปู่พูดว่าหากพี่ต้อยสอบไม่ผ่านอีกในปีนี้ พี่ต้อยคงต้องกลับบ้านและจบการศึกษาเพียงเท่านั้น

ผมคาดเดาได้จากบทสนทนาที่ว่าว่าพี่ต้อยคงผ่านการศึกษาภาคแรกด้วยคะแนนที่ยากจะเอาตัวรอดหากไม่พยายามให้หนักขึ้นในภาคการศึกษาปลาย

แรงกดดันที่ว่าทำให้พี่ต้อยกลายเป็นคนเย็นชาลง พี่ต้อยไม่เดินไปโรงเรียนพร้อมผม หากแต่จะออกจากบ้านสายกว่านั้นเพื่อที่จะไม่ต้องพบปะกับเพื่อนระหว่างทาง

พี่ต้อยคงตั้งใจให้ไปถึงโรงเรียนเวลาที่ธงชาติขึ้นสู่เสาและเข้าห้องเรียนทันทีโดยไม่ต้องการการพูดคุยกับใคร

เพราะสายวันหนึ่งที่ผมออกจากบ้านสายเพราะการต้องหมกมุ่นกับการทำวิชาหัตถกรรมส่งทำให้ผมเห็นพี่ต้อยนั่งรอเสียงเพลงชาติอยู่ข้างทางไม่ไกลจากโรงเรียนของพี่ต้อยนัก

เมื่อพี่ต้อยเห็นผม พี่ต้อยลุกขึ้น ยิ้มให้ผม ปัดกระโปรงแล้วสาวเท้าเข้าโรงเรียน

ความกดดันที่ว่านี้ของพี่ต้อยได้รับการแก้ไขด้วยครูหนุ่มคนหนึ่งที่มีบ้านอยู่หลังโรงเรียนอาสาจะสอนพิเศษให้พี่ต้อยในวิชาที่อ่อน

ผมเข้าใจว่าพี่ต้อยแจ้งกับปู่เช่นนั้น และพี่ต้อยก็ห่างหายจากครอบครัวเรามากขึ้นทุกที

เวลาเช้าพี่ต้อยจะออกจากห้องไปโรงเรียนหลังจากทุกคนออกไปทำกิจกรรมหมดแล้ว

ส่วนยามเย็นพี่ต้อยจะกลับจากบ้านครูหนุ่มนั้นเมื่อทุกคนกลับเข้าห้องส่วนตนแล้ว

ผมรู้ว่าพี่ต้อยกลับมาถึงบ้านเมื่อสุนัขของเราส่งเสียงเห่าต้อนรับพี่ต้อย จากหกโมงเย็นเป็นหนึ่งทุ่ม จากหนึ่งทุมเป็นสองทุ่ม

พี่ต้อยไม่ได้ร่วมสำรับอาหารตอนเช้ากับเราด้วยเหตุผลที่ว่าพี่ต้อยชอบทานอาหารที่โรงเรียนมากกว่า

ส่วนสำรับตอนเย็นนั้นพี่ต้อยบอกว่าครูหนุ่มและครอบครัวทำอาหารเผื่อแผ่พี่ต้อยให้แล้ว นั่นทำให้พี่ต้อยกลายเป็นคนแปลกหน้าของพวกเรา

และกว่าจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว

ก่อนการสอบปลายภาคไม่นาน พี่ต้อยเริ่มไม่กลับบ้านด้วยอ้างว่าการสอนพิเศษนั้นมีหลายวิชาที่พี่ต้อยต้องนั่งทำการบ้านเพื่อให้ตรวจหลังทำเสร็จ และมันจะกินเวลาค่ำเกินกว่าจะเดินเท้ากลับมาบ้านได้ ครูหนุ่มคนนั้นจึงจัดที่พักให้เธอ

ปู่เป็นคนอนุญาตในเรื่องนี้เห็นใจในการมุ่งมั่นของพี่ต้อยที่จะต้องผ่านการสอบครั้งนี้ให้ได้

พี่ต้อยเป็นความหวังของครอบครัว ประกาศนียบัตรชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามอาจไม่ยิ่งใหญ่นักแต่สำหรับพี่ต้อยและครอบครัวมันคือสิ่งที่จำเป็น วันจบภาคการศึกษาของพี่ต้อยคือวันกำหนดชะตากรรมของครอบครัวพี่ต้อยเลยทีเดียว

ทว่า พี่ต้อยกลับไม่เคยไปถึงวันนั้น

เช้าตรู่วันหนึ่ง ก่อนหน้าการสอบปลายภาคเพียงสัปดาห์ น้องสาวของผมเปิดประตูออกจากห้องของเราเป็นคนแรก เสียงเปิดประตูตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างตกใจ

ผมลุกขึ้นจากเตียงเป็นคนต่อมา ตามด้วยย่า

ภาพแรกที่เห็นตรงโถงกลางของห้องนั้นคือเก้าอี้ไม้ที่เราใช้นั่งชมโทรทัศน์ล้มระเนระนาดอยู่

ส่วนภาพที่สองนั้นคือร่างของพี่ต้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยแรงเชือกที่ผูกกับขื่อกลางบ้านของเรา

พี่ต้อยน่าจะสิ้นใจมาหลายชั่วโมงแล้ว คาดเดาว่าพี่ต้อยคงตัดสินใจจบชีวิตตนเองกลางดึกเมื่อทุกคนหลับสนิท เพราะตอนที่ผมกับปู่ซึ่งเป็นผู้ชายเพียงสองคนในบ้านเอาร่างของพี่ต้อยลงมานั้น ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก

เราอาจมีคำอุปมาถึงความเย็นยะเยือกได้หลายหลาก แต่ความเย็นยะเยือกจากร่างผู้ตายนั้นไม่อาจเปรียบเทียบกับอะไรได้เลย

เช้าวันนั้นเป็นเช้าวันหนึ่งที่ผมต้องงดการไปโรงเรียน

มีคนแปลกหน้าจำนวนมากมาที่บ้านของเรา ทั้งตำรวจและคนในชุดพยาบาล

ช่วงเช้าของเราเต็มไปด้วยการจัดการทางกฎหมาย

ปู่ต้องนั่งรถรับจ้างไปที่อำเภอเพื่อขอใบมรณบัตรหลังตำรวจพิสูจน์ชัดแล้วว่านี่เป็นการฆ่าตัวตาย

ช่วงบ่ายเต็มไปด้วยการจัดการพิธีกรรม เราเลือกวัดที่ตั้งของโรงเรียนที่พี่ต้อยเรียนอยู่เผื่อว่าเพื่อนคนใดของพี่ต้อยจะได้มาร่วมงานได้สะดวก

ผมไปร่วมงานศพครั้งแรกในชีวิตในงานของพี่ต้อย เป็นการฟังการสวดพระอภิธรรมครั้งแรก เป็นการถูกฝึกให้ล้างหน้าก่อนเข้าบ้านหลังงานศพเป็นครั้งแรก

เป็นการนอนไม่หลับตลอดคืนเป็นครั้งแรก

และเป็นการได้พบแม่ของพี่ต้อยเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน

หญิงวัยกลางคนที่นุ่งผ้าพื้นสีดำและเสื้อแขนกระบอกสีดำนั่งร้องไห้เพียงลำพังหน้าศพทุกคืน

มีเพื่อนของพี่ต้อยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมางานสามวันนั้นเพียงประปราย เชื่อได้ว่าพี่ต้อยคงผูกมิตรกับเพื่อนไม่มากนัก

ทว่า กลับไม่มีการปรากฏตัวของครูหนุ่มคนนั้น

ปู่ฝากคนส่งการ์ดไปบอกเขาที่บ้าน แต่เขาไม่เคยมาร่วมงานศพแม้สักครั้งเดียว

ดังที่เชสเตอร์ “สำหรับผู้เป็นเราไม่สามารถจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีคนคนนั้นอีกแล้วได้เลย”