ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | ไม่มีใครทำลายรัฐบาล เท่ากับคุณประยุทธ์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์การเมืองแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย

ในด้านหนึ่ง คือเรากลายเป็นประเทศที่ศูนย์กลางอำนาจบริหารแบ่งเป็น 2 ฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

และในอีกด้าน ก็คือเรากลายเป็นประเทศที่การเมืองมวลชนแสดงออกว่าไม่เอาระบอบของรัฐมาแล้วหนึ่งปี

เฉพาะในส่วนของรัฐบาล ถึงตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่ามีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่าง 3 พลเอกที่ยึดครองประเทศมาเกือบทศวรรษ

ยิ่งกว่านั้นคือความขัดแย้งนี้ไม่มีทางหายไปจนความสัมพันธ์ของ 3 ทหารเฒ่ากลับไปเป็นเหมือนเดิม

มีก็แต่จะลุกลามไปเป็นรอยร้าวที่ใหญ่กว่าเดิม

ปฏิบัติการที่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เกือบพังคาสภา แสดงพลังของคนที่อยู่เบื้องหลังระดับสะเทือนฟ้าสะท้านดิน และในโลกที่คุณประยุทธ์เชื่อว่าคุณธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นตัวการจนไล่ออกจากคณะรัฐมนตรี การที่คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ปกป้องคุณธรรมนัส ยิ่งแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของสองนายพลมีปัญหาอย่างชัดเจน

ไม่มีใครรู้ว่าคุณประวิตรเกี่ยวอย่างไรกับการเคลื่อนไหวที่คุณประยุทธ์เกือบแพ้โหวตไว้วางใจกลางสภา ถ้าหัวหน้าพรรคไม่เกี่ยวเลยกับเรื่องใหญ่ที่เลขาฯ พรรคทำก็แปลก

แต่ที่แน่ๆ คือหัวหน้าพรรคปกป้องเลขาฯ พรรคทั้งที่หัวหน้ารัฐบาลแสดงออกว่าไม่พอใจเลขาฯ พรรคจนไม่ร่วมงานกันต่อไป

พลังประชารัฐคือพรรคแกนนำรัฐบาล และในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยรัฐสภาที่ปกติ ความขัดแย้งระหว่างหัวหน้ารัฐบาลกับเลขาฯ พรรคแกนนำรัฐบาลไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะหัวหน้ารัฐบาลมาจากผู้นำพรรคเดียวกับเลขาฯ พรรค ยิ่งการปลดจากคณะรัฐมนตรีก็ยิ่งไม่มีทางเกิดได้เลย

อย่างไรก็ดี ความไม่ปกติของประเทศหลังรัฐประหาร 2557 คือคุณประยุทธ์เขียนรัฐธรรมนูญให้ตัวเองเลือกพี่น้องและเพื่อนมาเป็นวุฒิสมาชิกเพื่อเลือกตัวเองเป็นนายกฯ ได้ 250 คน คุณประยุทธ์จึงเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ในความจริงแล้วตั้งตัวเองเป็นนายกฯ จนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องฟังใครเลย

คุณประยุทธ์บริหารประเทศโดยเปลี่ยนประเทศเป็นอาณาจักรที่มีไว้เพื่อให้คุณประยุทธ์ปกครองประชาชน

ยิ่งนานความเหินห่างที่ประชาชนมีต่อคุณประยุทธ์จึงยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คุณประยุทธ์เองก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าจนไม่เห็นใครในสายตา ยกเว้นตัวเอง

คุณประยุทธ์เคยให้สัมภาษณ์หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคือแก๊ง 3 ป. ซึ่งสะท้อนความเชื่อของคุณประยุทธ์ว่าตัวเองคือเจ้าของพรรคนี้ตัวจริง

ผลก็คือพรรคซึ่งควรเป็นสะพานเชื่อมคุณประยุทธ์กับประชาชนก็กลายเป็นแค่บันไดให้คุณประยุทธ์เหยียบขึ้นไปมีอำนาจโดยไม่มีความหมายอะไรเลย

โลกของคุณประยุทธ์คือโลกที่ประชาชนเป็นไพร่ ส่วนคุณประยุทธ์คือนายซึ่งทำหน้าที่ปกครองประชาชนตามความพอใจของคุณประยุทธ์

คุณประยุทธ์มองตัวเองเป็น “ผู้ปกครอง” แบบเจ้าขุนมูลนายในสังคมโบราณตามจินตนาการที่คุณประยุทธ์มีตามความรู้ของคุณประยุทธ์เอง

อย่างไรก็ดี เจ้านายแบบที่คุณประยุทธ์เข้าใจมีอำนาจรัฐเหนือสังคมไทยในอดีตจริงๆ น้อยมาก นักวิชาการบางคนจึงเปรียบเทียบว่าอำนาจรัฐในสังคมโบราณเหมือนแสงเทียนที่สว่างแค่ตรงกลาง ไกลออกไปยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งมืดเท่านั้น

ถ้าอำนาจรัฐมีน้อย ผู้มีอำนาจจะมองประชาชนเป็นเบี้ยล่างอย่างไรก็ไม่เป็นไร เพราะคนส่วนใหญ่มีทางหนีไปจากการควบคุมของผู้มีอำนาจได้เสมอ แม้กระทั่งสังคมไทยต้นรัตนโกสินทร์ยังรู้ว่ารัฐที่ดีต้องฟังประชาชนจนเกิดคำอธิบายว่าสุโขทัยวางกระดิ่งไว้ให้ประชาชนร้องทุกข์ตลอดเวลา

หากผู้มีอำนาจสมัยต้นรัตนโกสินทร์พอจะรู้ว่าการปกครองที่ดีคือการปกครองที่ฟังประชาชน คุณประยุทธ์ก็ควรถามตัวเองว่ายิ่งใหญ่มาจากไหนถึงไม่ต้องฟังใครเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่อำนาจรัฐมีมากจนทุกอย่างที่คุณประยุทธ์ทำนั้นส่งผลกระทบกับประชาชนได้ทุกกรณี

ถ้าคุณประยุทธ์ฉลาด พรรคพลังประชารัฐจะเป็นกลไกที่คุณประยุทธ์ใช้หลอกลวงประชาชนได้ว่าคุณประยุทธ์ฟังประชาชนบ้าง

แต่เพราะคุณประยุทธ์เป็นคนแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ แม้แต่กลไกที่จะใช้หลอกประชาชนก็ยังถูกคุณประยุทธ์พังไม่มีชิ้นดี

พลังประชารัฐเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่ถูกดูถูกที่สุดเมื่อเทียบกับพรรคแกนนำรัฐบาลในอดีตอย่างไทยรักไทย, พลังประชาชน, ประชาธิปัตย์, ชาติไทย ฯลฯ เพราะนายกฯ ทุกคนคือตัวแทนพรรคที่ประชาชนเลือก ส.ส.มากที่สุด พรรคจึงเป็นมากกว่าหัวหลักหัวตอแบบพลังประชารัฐปัจจุบัน

การเมืองแบบสภาที่ต่อเนื่องเข้าปีที่สามทำให้ ส.ส.พลังประชารัฐตระหนักว่าตัวเองมีพลังช่วงเปิดสภา การสร้างอำนาจต่อรองกับคุณประยุทธ์จึงเกิดขึ้นในช่วงสภาอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่แล้ว

แต่แทนที่คุณประยุทธ์จะฟัง คุณประยุทธ์กลับคิดแต่หาทางชนะโหวตแล้วยึดพรรคเป็นของตัวเอง

ประเทศไทยหลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจมีศูนย์อำนาจในความเป็นจริงสองศูนย์

ศูนย์แรกอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล มีศูนย์กลางอยู่ที่คุณประยุทธ์และพวกที่ประชาชนไม่ได้เลือกราวๆ 10 คน

ส่วนศูนย์ที่สองอยู่ที่ป่ารอยต่อฯ มีศูนย์กลางอยู่ที่ พล.อ.ประวิตรและผู้แทนฯ ที่ประชาชนเลือกราว 40 ราย

ที่ผ่านมานั้นคุณประยุทธ์พยายามแผ่อำนาจจากทำเนียบมายึดพลังประชารัฐผ่านกลุ่มสามมิตร, กลุ่มชลบุรี และกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ลงรอยกับคุณธรรมนัส

ความขัดแย้งระหว่างคุณประยุทธ์กับคุณประวิตรจึงมาถึงจุดที่คุณประยุทธ์ไม่ไว้ใจคุณประวิตรต่อไปแน่ๆ ไม่ว่าหน้าฉากจะแสดงออกอย่างไรก็ตาม

ล่าสุด แม้กระทั่งการลงพื้นที่ดูปัญหาน้ำก็เป็นการทำสงครามประลองกำลังระหว่างคุณประยุทธ์และคุณประวิตรว่าใครจะมี ส.ส.ต้อนรับมากกว่ากัน

ความขัดแย้งจึงมาถึงจุดที่ทั้งคู่ไม่ถอยแล้ว เพราะกระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างเลื่อนวันลงพื้นที่ไม่ให้ชนกันก็ยังไม่มีใครยอมใครเลย

ด้วยความไม่ลงรอยระหว่างคุณประยุทธ์และคุณประวิตรที่ลามขึ้นทุกวัน รัฐบาลกำลังเดินหน้าสู่ทางตันที่คุณประยุทธ์อยู่ทำเนียบกับคุณธนกร วังบุญคลชนะ, คุณเสกสกล อัตถาวงศ์ และเครือข่ายสามมิตรซึ่งขยายบารมีนอกพรรคไม่ได้ ส่วนแกนจริงของรัฐบาลอย่างคุณประวิตรกลับมีระยะห่างกับทำเนียบอย่างไม่เคยเป็น

ตรงข้ามกับรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ที่บอกว่ารัฐบาลนี้เกิดขึ้นเพราะประชาชนหนุนคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ พรรคที่ประกาศหนุนคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ได้คะแนนโหวตจากประชาชนน้อยกว่าพรรคที่ไม่หนุนเกือบหนึ่งเท่าตัว แปลตรงๆ คือคุณประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะคนส่วนใหญ่เลือกเลย

คุณประยุทธ์อาจยึดประเทศนานจนหลงคิดว่าตัวเองทำให้เกิดรัฐบาล แต่ถึงคุณประยุทธ์จะมี ส.ว. 250 คนเพื่อบีบให้พรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ตัดสินใจร่วมรัฐบาล บารมีของ พล.อ.ประวิตรคือปัจจัยหลักที่ทำให้คนสำคัญจากทุกฝ่ายเข้าร่วมรัฐบาลมากที่สุด ไม่ใช่คุณประยุทธ์เลย

เมื่อคุณประยุทธ์เลือกที่จะเผชิญหน้ากับคุณประวิตรด้วยการทำทุกวิถีทางเพื่อลดความสำคัญของคุณประวิตรลง ผลลัพธ์ที่ได้คือรัฐบาลมีโอกาสพังกลางสภาในกรณีที่เสนอกฎหมายแล้วมีเสียง ส.ส.สนับสนุนไม่พอได้ทุกเมื่อ

เพราะไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะปล่อยให้คุณประยุทธ์ทำอะไรแค่ฝั่งเดียว

รอยร้าวของคุณประยุทธ์และคุณประวิตรทำให้สังคมไทยไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง พูดแบบคุณทักษิณ ชินวัตร คือคุณประยุทธ์ขาลอย ทำอะไร ส.ส.พลังประชารัฐก็อาจจะไม่หนุน และกระทั่งพรรคร่วมอื่นๆ ก็อาจไม่เอาด้วย เพราะการหนุนคุณประยุทธ์อาจเป็นการปีนเกลียวกับฝ่ายคุณประวิตรโดยตรง

เพื่อจะสร้างอำนาจต่อรองให้ตัวเอง คุณประยุทธ์จำเป็นต้องเร่งทำพรรคใหม่ซึ่งมีคุณอนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นแกนกลาง แต่พรรคใหม่จะยิ่งทำให้คุณประยุทธ์เป็นคู่แข่งกับพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมอื่นๆ ยิ่งขึ้น คุณประยุทธ์จึงผลักตัวเองให้เข้าสู่ทางตันที่มองไปทางไหนก็มีแต่ศัตรูจากหนักไปเบา

กองทัพและตำรวจอาจเป็นกองหนุนที่คุณประยุทธ์มีเหลือเพื่อสนับสนุนรัฐบาล แต่คุณประยุทธ์รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองมีอำนาจถดถอยแค่ไหนในการทำโผแต่งตั้งทหารรอบล่าสุด ส่วนตำรวจนั้นพร้อมลู่ตามทุกฝ่ายจนเอาแน่อะไรไม่ได้ อำนาจของคุณประยุทธ์จึงมีฐานที่เปราะบางและเรียวแคบลงทุกวัน

ด้วยการเมืองมวลชนบนท้องถนนที่ประชาชนชุมนุมไล่คุณประยุทธ์ตั้งแต่ม็อบปลดแอกมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 จนลุกลามเป็นม็อบทะลุแก๊สในปัจจุบัน คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ที่แทบไม่เหลือมวลชนหนุนหลังอีก จะมีก็แค่กลุ่มที่เรียกรวมๆ ว่า “สลิ่ม” ซึ่งอ่อนแรงและหลุดโลกจนหมดราคา

ภายใต้การสูญเสียความสนับสนุนบนถนน, ในสภา และระบบราชการ คุณประยุทธ์กำลังเป็นนายกฯ ที่ฐานทางสังคมอ่อนแออย่างที่สุด การค้ำยันคุณประยุทธ์อาจมาจากความพิเศษบางอย่าง แต่ใครจะอยากเป็นพันธมิตรกับคุณประยุทธ์ที่แทบไม่เหลือใครอีก นอกจากคนในทำเนียบรัฐบาล

ละครการเมืองน้ำเน่าที่มีคุณประยุทธ์เป็นศูนย์กลางกำลังจะปิดฉาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉากจบจะเกิดขึ้นวันไหน และวันนั้นใครบ้างที่จะพังไปกับคุณประยุทธ์เท่านั้นเอง