“เชสเตอร์ เบนนิงตัน” นักร้องผู้เป็นสัญลักษณ์ของนูเมทัล

เชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องนำของลินคินพาร์ก วงดนตรีนูเมทัลชื่อดัง ผู้ผ่านพ้นวัยเด็กที่ประสบปัญหามาสู่การเป็นนักร้องของวงดนตรีที่ได้รับความนิยมระดับแนวหน้าด้วยความเกรี้ยวกราด แต่มีท่วงทำนองในแบบเมทัล ถูกพบเสียชีวิตด้วยการทำอัตวินิบาตกรรมอย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะมีอายุได้เพียง 41 ปี

ไมก์ ชิโนดะ แร็พเปอร์ที่ถือเป็นนักร้องนำร่วมกับเบนนิงตันในวงลินคินพาร์ก ทวีตข้อความว่า “ตกตะลึงและหัวใจสลาย แต่มันเป็นเรื่องจริง”

สำนักงานชันสูตรศพของเขตลอสแองเจลิสระบุว่า ได้รับโทรศัพท์หลังเวลา 09.00 น. ของวันดังกล่าวว่า พบเบนนิงตันแขวนคออยู่ที่บ้านพักในย่านที่พักอาศัยหรู พาลอส เวอร์เดส เอสเตต โดย ไบรอัน เอลเลียส หัวหน้าทีมปฏิบัติการของสำนักงานชันสูตรศพระบุว่า

“มีความเป็นไปได้สูงที่เป็นการฆ่าตัวตาย”

 

ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าการเสียชีวิตของเบนนิงตัน ลินคินพาร์กเพิ่งจะเผยแพร่มิวสิกวิดีโอเพลงซิงเกิลล่าสุด “ทอล์กกิ้ง ทู มายเซลฟ์” ที่มีเนื้อหาประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ ทาลินดา แอนน์ เบนต์ลีย์ ภรรยาของเบนนิงตัน ได้ขอร้องให้เขาควบคุมหรือลดการใช้ยาเสพติดให้น้อยลง

เบนนิงตันที่มีลูก 6 คนจากการแต่งงาน 2 ครั้ง มีปัญหาจากการดื่มแอลกอฮอล์และใช้ยาเสพติดนับตั้งแต่ก่อนเป็นวัยรุ่นจากการที่เขาต้องรับมือกับการหย่าร้างกันของพ่อแม่

เบนนิงตันที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในรัฐแอริโซนา ระบุว่า เพื่อนของครอบครัวข่มเหงรังแกตั้งแต่เขามีอายุ 7 ขวบ

“ผมถูกทุบตีและถูกบีบบังคับให้ทำหลายๆ อย่างที่ผมไม่ต้องการ ซึ่งมันทำลายความมั่นใจในตนเองของผม” เบนนิงตันให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ดนตรีทีมร็อกของอังกฤษเมื่อปี 2014

“เหมือนคนส่วนใหญ่ ผมกลัวที่จะพูดอะไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่ต้องการให้คนคิดว่าผมเป็นเกย์ หรือผมพูดโกหก” เขาบอก

เขานำเอาความโกรธเกรี้ยวมาใส่ในดนตรีด้วยเสียงคำรามในแบบเมทัล และลินคินพาร์กกลายเป็นวงดนตรีชั้นนำในกระแสที่เรียกว่านูเมทัล โดยนำโครงสร้างของดนตรีป๊อป ฮิปฮอป มาผสมผสานกับดนตรีเมทัล

โดยมีชิโนดะร้องแร็พประสานและสลับกับเบนนิงตัน

 

การเข้าร่วมวงลินคินพาร์กของเบนนิงตันเหมือนเป็นตำนานของยุคใหม่ โดยทางวงสามารถค้นพบเคมีที่ลงตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเบนนิงตันจะมีภูมิหลังที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับชิโนดะที่เป็นนักเรียนเปียโนคลาสสิค แถมจบการศึกษามาทางด้านกราฟิกดีไซน์

วงดนตรีที่ดิ้นรนอย่างยากลำบากก่อนที่เบนนิงตันจะเข้าร่วมวง ได้เซ็นสัญญากับวอร์เนอร์บราเธอร์ส ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่เมื่อปี 1999 และ “ไฮบริด ธีโอรี” เดบิวอัลบั้มของวงกลายเป็นอัลบั้มขายดีในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2001 โดยมียอดจำหน่ายมากกว่า 10 ล้านชุด

อัลบั้มดังกล่าวมีเพลงฮิตที่มีท่วงทำนอง สุ้มเสียงที่เกรี้ยวกราดอย่าง “ครอว์ลิ่ง” และ “อิน ดิ เอนด์” ซึ่งเบนนิงตันเผยถึงความรู้สึกหมดสิ้นหนทางในการเผชิญหน้ากับอาการติดยาเสพติด

หลังจากนั้นลินคินพาร์กออกผลงานสตูดิโออัลบั้มมาอีก 6 ชุด ทุกชุดขึ้นถึงท็อปทรี หรือ 3 อันดับแรกในชาร์ตอัลบั้มขายดีของทางบิลบอร์ดในฝั่งสหรัฐทั้งหมด และถึงแม้ว่าหากดูในด้านยอดขายแล้ว ลินคินพาร์กไม่เคยก้าวผ่านความสำเร็จในระดับมหาศาลที่ตนเองสร้างไว้ตั้งแต่ออกเดบิวอัลบั้มได้อีกเลย

แต่ก็มีวงดนตรีนูเมทัล หรืออัลเทอร์เนทีฟเมทัลน้อยวงนักที่จะสามารถเทียบกับลินคินพาร์กได้ในช่วงยุครุ่งเรืองของพวกเขา

 

อัลบั้มล่าสุด “วัน มอร์ ไลต์” ที่เพิ่งออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนพฤษภาคม กลับมาพร้อมกับซาวด์ดนตรีที่เปลี่ยนไปอย่างมาก “เฮฟวี่” ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มนี้ที่เป็นการดูเอ็ตกันระหว่างเบนนิงตันกับเคียรา นักร้องนักแต่งเพลงสาวชาวอเมริกัน โปรดิวซ์โดย จูเลีย ไมเคิลส์ และ จัสติน แทรนเตอร์ นักแต่งเพลงป๊อป เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูจากแฟนเพลงของวงจำนวนไม่น้อย

แม้ว่าซาวด์ดนตรีของอัลบั้มใหม่จะผลักดันให้แฟนๆ บางกลุ่มตีตัวออกห่าง แต่เบนนิงตันกล่าวว่า เขาไม่ต้องการติดอยู่กับอดีต และยินดีกับการผสมผสานแนวดนตรีเข้าด้วยกัน

ในปี 2013 เบนนิงตันประกาศว่า เขาจะเข้ารับตำแหน่งนักร้องนำของวงสโตน เทมเพิล ไพล็อตส์ (เอสทีพี) แทน สก็อต วีแลนด์ โดยบอกว่าเขาไม่ได้จะออกจากลินคินพาร์ก แต่วางแผนว่าจะทำหน้าที่นักร้องนำในทั้ง 2 วงไปพร้อมๆ กัน

เบนนิงตันย้ำความรับผิดชอบต่อทั้ง 2 วงด้วยการออกอัลบั้ม “ไฮไรส์” (High Rise) กับเอสทีพีในเดือนตุลาคม 2013 และออกอัลบั้มรีมิกซ์ “รีชาร์จ” กับลินคินพาร์กในเดือนเดียวกัน

ทั้งนี้ ลินคินพาร์กมีกำหนดการที่จะออกทัวร์คอนเสิร์ตในสัปดาห์นี้ และมีสัญญาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่บ่งชี้ให้เห็นว่าเบนนิงตันมีความต้องการที่จะลาจากโลกนี้ไป

ทว่า เชสเตอร์ เบนนิงตัน ก็กลับมาอำลาจากโลกนี้อย่างกะทันหันเสียก่อน ทิ้งตำนานอันยิ่งใหญ่ที่สร้างร่วมกับวงลินคินพาร์กไว้เบื้องหลัง