เครื่องเคียงข้างจอ/ลาโรง “ขอพบในฝัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล”

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

ลาโรง “ขอพบในฝัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล”

สัปดาห์นี้แล้วนะครับ ที่การแสดงละครเวที “ขอพบในฝัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล” จะปิดฉากลง โดยยังมีการแสดงอีก 2 รอบคือ เสาร์ที่ 22 และอาทิตย์ที่ 23 นี้เท่านั้น

ตอนที่เขียนต้นฉบับ ยังพอมีบัตรเหลือในรอบวันเสาร์สัก 100 ที่ได้ ส่วนวันอาทิตย์รอบสุดท้ายนั้นเหลือเป็นหลักสิบ หากใครสนใจนี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะครับ

ระหว่างทำการแสดง ได้มีการบันทึกสัมภาษณ์นักแสดงและทีมงานเบื้องหลังเพื่อเก็บเป็นเร็กคอร์ดของการทำงานเอาไว้ ซึ่งจากการสัมภาษณ์นี้ทำให้ได้เห็นแง่มุมหลายอย่างที่น่าสนใจ

เริ่มจากกลุ่มนักแสดงกันก่อน

นักแสดงหลายคนไม่เคยผ่านงานละครเวทีมาก่อน เมื่อมีโอกาสมาสัมผัสพวกเขาก็รู้สึกทึ่งในเสน่ห์ของการแสดงสดๆ ของละครเวทีไม่น้อย

เมทัล สุขขาว ที่รับบท “แนน” กล่าวว่า

“เคยแสดงละครทีวีอยู่บ้าง แต่นั่นถ่ายเป็นคัตๆ โดดไปมา แต่กับละครเวทีรู้สึกชอบมากกว่า ตรงที่เราได้ทำอารมณ์ต่อเนื่องเพราะมันเริ่มจากการแสดงฉากแรกที่เราเป็นอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้แล้วมันค่อยพัฒนาไปตามท้องเรื่องจนถึงฉากสุดท้าย มันได้อารมณ์จริงๆ”

แนนในเรื่องต้องพบกับชะตากรรมของการพัดพรากตั้งแต่ฉากแรก เมื่อ “เดียว” แฟนหนุ่มที่แสดงโดย เบนซ์-จิรโรจน์ ถูกยิงจนเสียชีวิตลง เธอก็เก็บซ่อนเดียวไว้ในหัวใจตลอดมา จนเมื่อเวลาผ่านไปเกือบปี วิญญาณเดียวจึงได้ตามหาจนเจอ เพื่อทำภารกิจที่เดียวสัญญาไว้ให้สำเร็จ

ในฉากสุดท้ายที่แนนต้องร่ำลากับวิญญาณคนรัก เมื่อภารกิจได้บรรลุแล้ว

“ฉากนั้นเล่นยากมาก” เมทัลว่า “คือ มันมีหลายความรู้สึกปนกัน ทั้งดีใจที่ความฝันของเราเป็นจริง ทั้งดีใจที่ได้พบกับวิญญาณของเดียว ทั้งเสียใจที่ต่อไปนี้จะต้องจากกันอีกแล้ว จากกันไปจริงๆ ด้วย”

“จะดีใจก็ไม่เชิง จะเสียใจเศร้ามากมายก็ไม่ใช่”

และเมทัลยิ่งเล่นก็ยิ่ง “ฉ่ำ” จนทำให้คนเสียน้ำตากับฉากนี้ได้เลยทีเดียว

ย้อนมาถึง “เบนซ์” ที่รับบทเดียว เบนซ์เล่าว่าในฉากที่เขาถูกยิงและต้องตายในอ้อมแขนของแนนผู้เป็นที่รัก เขารู้สึกว่า เดียวอยากจะใช้โอกาสสุดท้ายที่ยังพอมีสติก่อนที่จะตายไปเพื่อบอกขอโทษแนนที่เขาไม่สามารถทำให้ความฝันของแนนเป็นจริงได้

นี่เป็นการตีความที่ลึกไปกว่าบทที่เบนซ์ได้ทำการบ้านไว้ และนั่นทำให้เขาเข้าถึงการแสดงได้อย่างน่าชม ยิ่งในคำพูดที่เขาปะทุอารมณ์ใส่วิญญาณของเชษฐาที่จะมาทวงร่างคืนเพื่อขอยื้อการใช้ร่างนั้นทำภารกิจต่ออีก 2 วัน

“ก็ผมตายไปแล้วไง ผมไม่มีโอกาสอีกแล้ว แต่คุณยังกลับไปมีชีวิตได้อีก แต่ผม…ไม่มีแล้ว”

เล่นเอาผู้ชมอึ้ง และรู้สึกสงสารวิญญาณเดียวขึ้นมาจับใจ

และเมื่อเขาร้องเพลง “รักเธอเสมอ” อีกครั้งกับแนนในครึ่งหลัง มันวังเวง รันทดเสียจนเมื่อจบฉากนี้แล้วเขายังร้องไห้ต่อในหลังฉาก

“ผมต้องไปนั่งรอเพื่อเล่นฉากต่อไป ระหว่างนั้นผมนั่งร้องไห้ไม่หยุด” เขาเล่าให้ฟัง

เหมือนกันกับ “พิม” นักแสดงนำอีกคนที่รับบท “เมย์” หญิงสาวที่ถูกพ่อกับพี่ชายใช้เป็นเครื่องมือในความรัก เพื่อจับคนรวยๆ อย่างเชษฐาที่รับบทโดย “นัททิว”

“บทนี้ เหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆ เล่นยากมาก” พิมบอก “เพราะต้องเก็บซ่อนความรู้สึกตัวเองเอาไว้ จะรักเชษฐาก็ไม่กล้ารักเพราะกลัวจะตกเป็นเครื่องมือของพ่อกับพี่”

“ตลอดเรื่อง พิมไม่เคยบอกรักเชษฐาเลย จนเมื่อเขามาจากไปก็ยังไม่ได้บอก” นั่นเป็นการตีความที่นอกเหนือจากบทของพิมที่วิเศษมาก “ในฉากสุดท้ายที่เหมือนเขาจะจากไปอีกครั้งจริงๆ แล้วเมย์จึงบอกรักออกมาเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาจะรับรู้หรือเปล่า”

เจี๊ยบ-วัชระ ปานเอี่ยม ผู้กำกับฯ บอกว่า พิมเป็นนักแสดงที่มีสมาธิมาก เขาจะอินและหน้านิ่งมาก ในฉากที่คนอื่นเขาหัวเราะกัน แต่ตัวละครเมย์ต้องอยู่กับอารมณ์ตัวเอง ซึ่งพิมก็ทำได้อย่างดี

ส่วน “นัททิว” เขาไม่มีปัญหาเรื่องทักษะความสามารถ แถมยังมีความเป็นมืออาชีพสูง เขาจะมีการบ้านมาคุยกับผู้กำกับฯ ทุกครั้ง อย่างเมื่อเขาต้องแสดงเป็น “เดียว” ที่มาสิงตน นัทใช้วิธีสังเกตอากัปกิริยาในการแสดงของเบนซ์ แล้วหาจุดที่เขาสังเกตได้มา 3-4 อย่าง มาแชร์กับผู้กำกับฯ หากผู้กำกับฯ เห็นข้ออื่นอีกก็จะเป็นรายละเอียดที่เขาจะใช้แสดงมากขึ้น เพื่อให้เป็น “เดียว” ให้ได้

ในขณะที่นัททิวนั้นช่ำชอง แต่กับ “มาริว” แล้ว เป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเขากับละครเวที

“มาริว” เล่าให้ฟังว่า เขามี “ความกลัว” เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกว่า เขาจะแสดงได้ไหม จะร้องจะเต้นได้ไหม ข้อดีของเขาคือ เปิดรับกับทุกอย่าง ใครแนะนำอะไร ติว่าอะไรไปเขาไม่เคยโกรธ ซ้ำยังฝึกปรือเพื่อจะพัฒนาฝีมือให้ได้ และจากการแสดงที่ผ่านมา ผู้ชมก็เห็นว่าเขา “ทำได้”

“ผมดีใจที่ได้ก้าวข้ามความกลัวมาได้ ต่อไปนี้ผมก็จะมีความมั่นใจที่จะทำอะไรใหม่ๆ”

ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของทุกคน ไม่แต่นักแสดง หากเรามัวแต่กลัวเราก็จะไม่กล้าทำและนั้นคือการยอมแพ้แต่แรก ซึ่งมาริวได้พิสูจน์มาแล้วให้ทีมงานและผู้ชมเห็น

สำหรับ “เนสท์” บท “ป่าน” ที่เนสท์แสดง เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ชมอย่างมาก เนสท์เล่นได้ “เว่อร์” แบบจริงใจ เป็นธรรมชาติ ไม่น่าเกลียดหรือน่ารำคาญ แต่ออกแนวเฮฮาน่ารักมากกว่า

“มันยากอีตรงที่จะร้องยังไงให้เป็นเหมือนพูดนี่แหละพี่ แล้วมันก็ยังมีท่าทางจริตจะก้านเข้ามาอีก” เพราะเพลงที่เนสท์ร้อง ไม่ใช่ให้เพราะ แต่ต้องสื่อสารอารมณ์มากๆ ทั้งอารมณ์โกรธ หึงหวง ในเพลง “หวงรัก” และอารมณ์กุ๊กกิ๊กแบบหญิงสาวเม้าธ์มอย ในเพลง “รอคำรัก”

ซึ่งเนสท์ก็สอบผ่านสบาย

ในส่วนของงานดนตรี ที่ อู๋-ธรรพ์ณธร รับผิดชอบ เขาบอกว่า

“ความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือความสมัยใหม่ และมีเรื่องของคนกับวิญญาณเข้ามา เปิดโอกาสให้ผมได้ทดลองใช้แนวดนตรีหลากหลายเข้ามาได้ ทั้ง สกา เร็กเก้ ดิสโก้ อิเล็กทรอนิกส์ แดนซ์ หรือเลยไปถึง บอสซาโนว่า กับ สะวิง แจ๊ซ”

ซึ่งเมื่อมาผสมกับเพลงดั้งเดิมที่ประพันธ์ไว้อย่างวิเศษอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ดนตรีที่ออกมาให้อารมณ์กลมกลืนส่งเสริมเรื่องราวและความรู้สึกได้ดี

“เพลงวิญญาณรัก ผมได้ใช้การร้องแบบอคาเพลล่าเข้ามา เพื่อให้ได้อารมณ์วังเวง หลอกหลอน ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบมาก” อู๋เล่าให้ฟัง

ส่วนการออกแบบลีลาการเต้น ครูโอ๊ค-รับขวัญ และ ครูนัท-มนัสชัย เล่าให้ฟังว่า

“หลายๆ เพลงตอนที่ฟังจากออริจินอลแล้ว ยังนึกไม่ออกว่าจะทำออกมายังไง แต่พอได้ฟังดนตรีจากพี่อู๋แล้ว ช่วยได้มากเลย อย่างเพลงรื่นเริงเถลิงศก ที่ของเดิมเป็นรำวงมากๆ แต่ดนตรีที่ทำออกมาสามารถใส่ท่าเต้นได้ทั้ง ฮิปฮอป ป๊อปแดนซ์ แต่ก็ยังมีรำวงเข้ามาปนได้อีกด้วย สนุกมาก”

“อย่างเพลงห่วงอาลัย ตั้งใจให้ได้อารมณ์บรอดเวย์เลย ทั้งดนตรี ทั้งฉาก มันส่งกันได้ และนักแสดง 2 คน คือ นัททิวกับพิม ก็มีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว เลยออกมาสวยพลิ้วเลย”

ยังมีรายละเอียดของการทำงานจากปากคำคนเบื้องหน้าและเบื้องหลังอีกมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีความรู้สึกร่วมกันคือ การทำงานที่เป็น “ครอบครัว” และ “เปิดโอกาส” จริงๆ ใครมีความคิดความเห็นอย่างไร สามารถจะนำเสนอได้หมด และผู้กำกับฯ ก็จะพิจารณาขัดเกลาอีกที จึงทำให้เกิดความสนุกในการทำงานจนส่งผลเป็นผลงานที่สวยงามเช่นนี้

สุดท้ายที่ทุกคนรู้สึกชื่นชมคือ คุณค่าของบทเพลงของสุนทราภรณ์ ที่เป็นอมตะและไพเราะหลากหลายจริงๆ เมื่อได้มาสัมผัสไม่มีใครบอกว่าเชย เก่า คร่ำครึเลย หากรู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสืบทอดมรดกของชาติชิ้นนี้

จบไปอีกครั้งกับผลงานชุดที่ 6 “ขอพบในฝัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล”

ผู้ชมถามไถ่กันต่อทันทีว่าเรื่องหน้าจะมีเมื่อไหร่ ชื่อเรื่องอะไร

เอาเป็นว่าเอาเรื่องนี้ก่อนนะครับ ใครที่ไม่อยากพลาด ยังมี 2 รอบสุดท้ายให้ชมกัน เสาร์-อาทิตย์นี้ รอบบ่าย 2 โมงตรง ที่โรงละครเอ็มเธียเตอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แล้วคุณจะนอนหลับฝันดีแน่นอน

ฟันธง คอนเฟิร์ม ครับผม