เผยแพร่ |
---|
สถานการณ์ของ#ม็อบ10สิงหาคม ณ แยกราชประสงค์ พลิกความ คาดหมายของ “เกจิ”ทางการเมืองลงไปอย่างสิ้นเชิง
นั่นก็คือ ไม่สามารถจำกัด”ปริมาณ”มวลชนที่เข้าร่วมลงได้
แม้ว่าจะมีมาตรการ”ป้องปราม”ในกระบวนท่าแบบ”ตัดไม้ข่ม หนาม” ด้วยการจับกุม นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ การคุมขัง นายไผ่ ดาวดิน และนายอานนท์ นำภา
แม้ว่าจะมีมาตรการ”เข้ม”ผ่านการสลาย#ม็อบ7สิงหาคม ตั้งแต่ยังไม่จัดขบวน ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และลงเอยด้วยความรุนแรงหน้ากรมทหารราบที่ 1 และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
กระนั้น มวลชนก็ยังขับรถยนต์ นั่งจักรยานยนต์ และเดินทางเข้าไปยังแยกราชประสงค์ ก่อปรากฎการณ์ #ม็อบ10สิงหาคม ให้ยิ่ง ใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนกว่า#ม็อบ10สิงหาคมเมื่อ 1 ปีก่อน
หัวขบวนอยู่อโศกขณะที่ท้ายขบวนยังอยู่ถนนเพลินจิต
ไม่ว่าจะเคลื่อนไปหน้าชิโน-ไท ไม่ว่าจะเคลื่อนไปถึงย่านราชปรารภความคึกคักเข้มข้นก็ไม่ผ่อนคลาย
ทั้งยังแถมท้ายที่สามเหลี่ยมดินแดนเหมือน#ม็อบ7สิงหาคม
มีความพยายามเปรียบเทียบสถานการณ์#ม็อบ10สิงหาคม ประสานเข้ากับสถานการณ์#ม็อบ7สิงหาคม ทั้งๆที่ในความเป็นจริงจิตนภาพควรอยู่ที่สถานการณ์#ม็อบ16สิงหาคมเมื่อปี 2563
จำได้หรือไม่ว่าภายหลังผ่านสถานการณ์#ม็อบ3สิงหาคม และ สถานการณ์#ม็อบ10สิงหาคม
มีการคาดหมายว่าการชุมนุมจะเริ่มฝ่อและแผ่วลง
ฝ่อเพราะประชาชนรับไม่ได้ที่มีการเสนอเนื้อหาในลักษณะอัน เรียกได้ว่า”ทะลุเพดาน” ไม่เคยมีม็อบใดกล้าทำมาก่อน จึงคิดว่าการชุมนุมในวันที่ 16 สิงหาคม คนจะเริ่มถอย
เมื่อถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2563 อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็คึก
ความคึกอันสัมผัสได้ในสถานการณ์#ม็อบ16สิงหาคม เมื่อปี 2563 ไม่แตกต่างไปจากความคึกอันเห็นได้จากสถานการณ์#ม็อบ10สิงหาคมที่เพิ่งผ่านไป
ยืนยันว่ายิ่งเป็นสถานการณ์#ม็อบ15สิงหาคมยิ่งจะเข้มข้น
เป็นความเข้มข้นจากการยกระดับและพัฒนาจาก”คาร์ม็อบ”โดยประสานเข้ากับ”ไฮด์ปาร์ค”กลายเป็น”คาร์ปาร์ค”ในที่สุด
เป็นความเข้มข้นจากนิรมิตกรรมของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ